“ปานเทพ” แนะ “กำนัน” บอกเลยว่า 14 พ.ค.ให้ออกมาทำอะไร เพื่อเพิ่มจำนวนคนให้มากยิ่งกว่าเดิม เสนอขวาง ครม.อนุมัติ พ.ร.ฎ.กำหนดวันเลือกตั้ง หวั่นหากผ่านฉลุยจะไม่มีใครกล้าใช้มาตรา 7 เพราะรัฐบาลประชาชนจะมีอายุเพียงไม่นาน ด้าน “ชัชวาลย์” หวังพลังมวลชนในศึกครั้งสุดท้ายจะถูกใช้ให้เป็นประโยชน์ ด้วยการกดดัน “ประยุทธ์” ให้เลือกข้าง
วันที่ 30 เม.ย. นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ อดีตโฆษกและแกนนำรุ่น 2 พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พร้อมด้วยนายชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย นักวิชาการอิสระ ร่วมสนทนาในรายการ “คนเคาะข่าว” ทางเอเอสทีวี
โดยนายปานเทพกล่าวว่า การที่นายสุเทพประกาศชัดเจนวันนี้ว่าปฏิเสธการเจรจาประนีประนอม ตราบใดที่ไม่ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง นายอภิสิทธิ์ควรยุติการเคลื่อนไหวที่กำลังทำอยู่ได้แล้ว เสียเวลามากพอแล้วกับการเดินสายเจรจากับนักการเมืองทั้งหลาย และต่อให้มีการเลือกตั้งก็ไม่สำเร็จ หากมีการสูญเสียอีกจากการที่ประชาชนเอาตัวเองเข้าแลกเพื่อขัดขวางการเลือกตั้ง นายอภิสิทธิ์ต้องรับผิดชอบในฐานะคนเดินเกมให้การเลือกตั้งดำเนินต่อไป นายอภิสิทธิ์ยังมีโอกาสที่จะถอย ประชาชนยังให้โอกาส
นายปานเทพกล่าวต่อว่า นายสุเทพได้นัดหมายการต่อสู้ 3 ขั้นตอน คือ 1. ทำพิธีตั้งสัตยาธิษฐาน วันที่ 5 พ.ค. 2. จัดทำบุญประเทศครั้งใหญ่ขับไล่เสนียดวันที่ 13 พ.ค. และ 3. ปฏิบัติการเรียกคืนอำนาจอธิปไตยกลับคืนมาเป็นของประชาชน ตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค. ตารางเวลาวันที่ 14 พ.ค. น่าจะมีการคาดการณ์กันว่าศาลรัฐธรรมนูญน่าจะวินิจฉัยคดีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ในวันนั้น หรือไม่ก็วันที่ 7 พ.ค. หากบรรจบกันพอดีก็เป็นวันสำคัญมากว่าศาลจะตัดสินให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์สิ้นสุดการดำรงตำแหน่งหรือไม่ แล้วจะตัดสินให้ ครม.ทั้งคณะพ้นตำแหน่งหรือไม่ และจะวินิจฉัยให้ต้องดำเนินการไปสู่การหานายกฯ คนใหม่หรือไม่
การเรียกคืนอำนาจอธิปไตยกลับคืนมาโดยอาศัยมาตรา 3 ซึ่งระบุว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขทรง ใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้” จะเห็นว่าพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจผ่านทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล หมายความว่าการใช้มาตรา 7 ต้องคำนึงเสมอว่าพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจผ่าน 3 เส้นทางนี้เท่านั้น
นายปานเทพกล่าวอีกว่า ให้กำลังใจให้นายสุเทพให้ทำสำเร็จ และตนขอย้ำอีกว่าชัยชนะที่แท้จริงคือการยึดครองหัวใจประชาชนให้ได้ ต้องก้าวข้ามสีทุกสีให้ได้ วันที่ 14 พ.ค. นายสุเทพอาจพามวลชนเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง แต่จะเดินยังไงก็ไม่มีผลถ้าไม่มีทหารเข้าร่วม ทางเลือกหนึ่งที่ทำได้คือต้องกดดันทหาร ซึ่งทำได้หลายวิธี
ส่วนกรณีที่รัฐบาลกับ กกต.จะเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งให้ ครม.อนุมัติในวันที่ 6 พ.ค. และนำขึ้นทูลเกล้าฯ ทันที ซึ่งถ้าออกพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งสำเร็จ การมีรัฐบาลประชาชนก็จะมีได้แค่แป๊บเดียว เพราะต้องเข้าสู่การเลือกตั้ง แล้วถ้าศาลตัดสินวันที่ 7 พ.ค.ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์สิ้นสุดอำนาจ ใครจะกล้าใช้มาตรา 7 ในเมื่อกำลังจะมีการเลือกตั้งในวันข้างหน้า ฉะนั้นการชิงจังหวะให้ได้ เช่นขัดขวางการประชุม ครม. หรือทำให้ กกต.ไม่สามารถทำงานได้ในวันที่ 6 พ.ค. ดีกว่าปล่อยให้สถานการณ์อึมครึมยืดเยื้อ
นายปานเทพยังกล่าวต่อว่า พอใกล้วันที่ 14 พ.ค. นายสุเทพควรบอกว่าให้มวลชนออกมาทำอะไร ถ้าอยากให้คนมาก แน่นอนคนมามากแน่แต่อาจมากกว่านั้นอีกถ้าบอกวัตถุประสงค์ว่ามาแล้วทำอะไร ต้องเป็นเป้าหมายเชิงรูปธรรม
ด้านนายชัชวาลย์กล่าวว่า คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กรรวมถึงกองทัพด้วย ฉะนั้นหากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์พ้นสภาพนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์จะเลี่ยงไม่ได้แล้ว แต่ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่ตัดสินใจ คนมากมายที่จะมาอย่ารอช้า จงทำในสิ่งที่ทำให้อำนาจรัฐมาอยู่ในมือ ถามเลยจะมาสู้กับเราไหม ถ้าไม่ถามไม่สำเร็จแน่
นายชัชวาลย์ยังกล่าวอีกว่า ถ้าศาลรัฐธรรมนูญตัดสินเป็นคุณ กปปส.ก็จะทำงานง่ายขึ้น แต่ไม่มีกองทัพก็ไม่ชนะ นายสุเทพมองว่าถ้าข้าราชการออกมาแล้วทหารจะตามมา กลับกันทหารต้องมาก่อนแล้วคนอื่นจะตามมา และทำให้ประชาชนปลอดภัยด้วย