รองโฆษก พท.อ้างมีข่าวลือยุทธการดับดาวแดง ยิงนกในกรง ก่อนสังหาร “ไม้หนึ่ง ก. กุนที” สงสัยองค์กรเก็บขยะยังไม่ออกมาปฏิเสธ โต้แนวคิดปฎิรูปการเมือง “บวรศักดิ์” ดูถูกคนไทย ส่วน “ชวน” ยุศาล รธน.ตัดสินคดีไม่ต้องเกรงใจใครเป็นการเติมน้ำมันเข้ากองไฟ อัด “มาร์ค” เสนอทางออกประเทศไทย เจตนาดีแต่แฝงประสงค์ร้าย ไล่ให้ไปลงเลือกตั้ง ประณามยิงเอ็ม 79 ใส่เดลินิวส์ จี้กองทัพตรวจสอบอาวุธในคลังแสง “เด็จพี่” อัด ป.ป.ช.ความรู้สึกช้า เพิ่งเรียกผู้ร้องให้ปากคำประกันราคาข้าว ระบุข้อเสนอคณะรัฐบุคคล มีนัยทางการเมือง ไม่มีกฎหมายรองรับ
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่มีการลอบยิงนายกมล ดวงผาสุก หรือไม้หนึ่ง ก.กุนที ว่าก่อนหน้านี้มีการเผยแพร่ข้อมูลโดยเป็นกระแสข่าวออกมาร่วมปีกว่ามีแผนยุทธการดับดาวแดง ยิงนกในกรง สังหารแกนนำเสื้อแดง ซึ่งอยู่ในลิสต์กว่า 10 ราย โดยกลุ่มคนมีสี ทั้งนี้ข่าวลือมักจะเป็นข่าวจริงที่มาก่อนเวลาอันควร จึงอยากให้ทุกฝ่ายช่วยกันจับตาว่าแผนดังกล่าวมีจริงหรือไม่ และขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจและ ศอ.รส.ซึ่งมีโอกาสเห็นข้อมูล และมีหลักฐานบางประการ ที่จะสามารถจับตัวผู้กระทำผิดได้ในไม่ช้า เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่อง ผู้เสียชีวิตถูกยิงอย่างอุกอาจกลางกรุง ขณะที่องค์กรเก็บขยะแผ่นดินยังไม่ปฏิเสธหรือตอบรหลังเกิดเหตุดังกล่าว
“เรื่องนี้พรรคประชาธิปัตย์ออกมาตีกิน โดยระบุว่าอย่านำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นทางการเมือนั้น ไม่รู้ว่าคนพรรคนี้จะพูดเอาหล่อไปถึงไหน เพราะโดยปกติจะโยนทุกเรื่องเป็นประเด็นทางการเมือง แต่พอเรื่องนี้เกิดขึ้นกลับพูดว่าไม่ใช่ประเด็นการเมือง ซึ่งไม่เป็นธรรม ว่างๆ ขอให้คนพรรคนี้ไปตั้งคณะลิเกเพราะชอบพูดเน้นเอาหล่อ ขณะที่ผมยังรอการออกมาแสดงความรับผิดชอบจากองค์กรเก็บขยะ ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่”
ส่วนที่นายบวรศักดิ์ อุวรรณโน เสนอ 7 แนวทางการปฏิรูปประเทศในงานปาฐกถาครบรอบ 16 ปีของศาลรัฐธรรมนูญนั้น นายอนุสรณ์กล่าวว่า น่ากลัว เพราะข้อเสนอที่ให้ศาลรัฐธรรมนูญอยู่เหนือกว่า 3 อำนาจอธิปไตย อาจเป็นความภูมิใจของนายบวรศักดิ์ที่ได้พูด แต่แนวคิดนี้เหมือนเป็นอำมาตย์ ดูหมิ่นคนไทยว่าไร้การศึกษาคิดไม่ทันพวกท่าน ซึ่งข้อเสนอแบบนี้ประเทศไม่ได้ประโยชน์อะไร
รองโฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า การเสนอว่าจะปฏิรูปอะไรขอให้เปิดปฏิทินว่าปี 2557 ประชาชนรู้และคิดเท่าทันพวกท่านแล้ว ดังนั้นการแสดงความเห็นใดๆ ขอให้ระมัดระวัง โดยเฉพาะประเด็นที่ละเอียดอ่อนหรือสุ่มเสี่ยง เช่นกรณีที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่าศาลรัฐธรรมนูญตัดสินอะไรไม่ต้องเกรงใจ เพราะมีคนเป็นแบ็กให้กับศาลจำนวนมากนั้น การพูดแบบนี้เป็นการเติมน้ำมันเข้ากองไฟ ซึ่งไม่ควร
สำหรับเหตุการณ์ยิงเอ็ม 79 ใส่หนังสือพิมพ์เดลินิวส์นั้น นายอนุสรณ์กล่าวว่า ขอประณามการกระทำเช่นนี้ เพราะสื่อมวลชนมีสิทธินำเสนอข่าวสารอย่างเป็นอิสระ โดยประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินเอง ไม่ควรมีการใช่ความรุนแรงเพื่อทำลายชีวิตหรือทรัพย์สินต่อกัน ทั้งนี้ขอเรียกร้องกองทัพให้ตรวจสอบว่ามีเครื่องยิงกระสุน หรือมีอาวุธปืนหายจากบัญชีควบคุมของกองทัพโดยเฉพาะกองทัพเรือหรือไม่ และการใช้อาวุธสงครามลอบยิงกันนั้น น่าจะเป็นจุดจบของ กปปส.ที่สวนลุมฯ หรือไม่ เพราะจะมีการทำลายสต๊อกอาวุธ ไม่เอากลับ ดังนั้นขอเรียกร้อง ผบ.เหล่าทัพ ช่วยกันตรวจสอบบัญชีอาวุธให้ดีว่าอยู่ครบหรือไม่ และขอให้จัดแถวนายทหารในและนอกราชการ อย่าปล่อยให้แอบไปรับจ๊อบที่ไม่พึงปฏิบัติ โดยขอให้ออกมาสื่อสารกับสังคมเพื่อให้เกิดความมั่นใจด้วย
นายอนุสรณ์ยังกล่าวถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เสนอทางออกประเทศผ่านทางยูทิวบ์ว่า เมื่อดูแล้วจะเห็นว่านายอภิสิทธิ์หล่อมาก ทั้งเนื้อหาและจังหวะจะโดน แต่สงสัยว่านายภิสิทธิ์ไปหลับใหลอยู่ที่ไหนมา ข้อเสนอบางเรื่องเหมือนมีเจตนาดีแต่แฝงประสงค์ร้ายหรือไม่ การประกาศท่าทีแบบนี้ประชาชนตกใจ แต่เมื่อสังเคราะห์แล้วนายอภิสิทธิ์กำลังขอโอกาสเสนอทางออกให้ประเทศนั้น คนไทยพร้อมให้โอกาสแต่ย่าลับลวงพรางหรือเดินซ้ำรอยนายสุเทพ เช่น การไปพบกับปลัดกระทรวงยุติธรรมหรือ ผบ.สส.ซึ่งนายสุเทพเคยเดินและขีดเขียนเอาไว้
“ก่อนหน้านี้ได้ข้อมูลเชิงลึกว่านายอภิสิทธิ์เคยปรารภว่าอยากคุยกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ข่าวลือวันนั้นเป็นจริงวันนี้ หากนายอภิสิทธิ์จริงใจขอให้คุยและร่วมมือกับนายอลงกรณ์ พลบุตร ให้มาก ยึดพรรคประชาธิปัตย์กลับคืนมาจากนายสุเทพให้ได้ เพื่อให้เป็นพรรคทางเลือกของประชาชน ขณะนี้สังคมรอนายอภิสิทธิ์ว่าจะนำพรรคประชาธิปัตย์ลงลงสนามเลือกตั้งหรือไม่”
ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ได้ทำหนังสือเชิญนายไพโรจน์ อิสระเสรีพงศ์ อดีต ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทยในฐานะผู้ร้อง ไปให้ปากคำกรณียื่นคำร้องให้ตรวจสอบโครงการประกันราคาข้าวในวันที่ 28 เม.ย.นี้ โดยนายพร้อมพงศ์กล่าวว่า การเชิญไปให้ปากคำดังกล่าวมีความล่าช้าจากเวลาที่ยื่นเรื่องไว้ถึง 4 ปี 11 เดือน 19 วัน เมื่อเปรียบเทียบกับโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะเห็นว่าการตรวจสอบโครงการทั้งสองมีความแตกต่างกันโดยเฉพาะการใช้เวลาตรวจสอบ
ทั้งนี้ ในฐานะที่ตนเป็นคณะกรรมการตรวจสอบโครงการประกันราคาร่วมกับนายโพโรจน์ รู้สึกว่า ป.ป.ช.มีความรู้สึกช้า เมื่อ ป.ป.ช.เรียกนายไพโรจน์ไปให้ปากคำแล้ว การดำเนินคดีต่อรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ควรเป็นมาตรฐานเดียวกันกับโครงการจำนำข้าวด้วย
“ขอให้นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช.ลงพื้นที่ตรวจไซโลเก็บข้าว เพื่อจะได้รู้ว่าไม่ได้มีข้าวหายอย่างที่เข้าใจ หาก ป.ป.ช.ไม่ไปตรวจสต๊อกข้าวแต่ดูเพียงข้อมูลเอกสารการตรวจสอบบัญชีของ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลังเท่านั้นแล้วมาวินิจฉัยชี้มูล ผมจะมองว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ”
นายพร้อมพงศ์ยังกล่าวถึงการที่นายอภิสิทธิ์เสนอเป็นผู้หาทางออกให้ประเทศว่าเป็นการสร้างภาพให้ตัวเองดูหล่อ เพราะนายอภิสิทธิ์อ้างว่าจะหารือกับหลายฝ่ายแต่ไม่ประกาศลงสมัครรับเลือกตั้ง การที่นายอภิสิทธิ์จะเดินสายเจรจากับปลัดกระทรวงยุติธรรม และผู้บัญชาการทหารสูงสุด ยังไม่ใช่ทางออก ทางออกสามารถทำได้โดยการประกาศลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยหากเห็นว่าจำเป็นต้องปฏิรูปการเมืองให้เสนอแนวคิดการปฏิรูปไว้ในนโยบายพรรค เมื่อได้รับการเลือกตั้งแล้วจึงมาดำเนินการตามที่กำหนดไว้
ส่วนที่คณะรัฐบุคคลโดย พล.อ.สายหยุด เกิดผล แถลงข้อเสนอให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ลาออก เปิดทางให้รัฐบุรุษรับสนองพระบรมราชโองการนั้น นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า ข้อเสนอดังกล่าวมีนัยทางการเมือง ไม่มีกรอบกฎหมายรองรับ เป็นข้อเสนอตกยุคที่จะซ้ำเติมความขัดแย้งทางการเมืองมากกว่า อีกทั้งไม่คำนึงถึงสิทธิของประชาชนไม่อยู่ในกรอบแนวทางประชาธิปไตย ทำให้มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ที่จะเป็นข้อเสนอที่สอดคล้องกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.เคลื่อนไหวเรียกร้องมาตลอดหรือไม่ ทั้งนี้ คณะรัฐบุคคลไม่ได้ผ่านการยอมรับจากประชาชน แต่อุปโลกน์ตัวเองขึ้นมากดดันนายกฯ ทั้งที่นายกฯ พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว เพียงแต่ทำหน้าที่รักษาการจะลาอออกซ้ำไม่ได้