xs
xsm
sm
md
lg

พลิกปูม “คดีถวิล” ก่อนวันเชือด “บิ๊กน้อย” โผล่พยานปากเอก??

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี
รายงานการเมือง


ชัดแล้วว่า ชะตากรรมของ “ปูกรรเชียง” น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ถูกแขวนไว้บนเส้นด้ายไม่เกินกลางเดือน พ.ค. ตามไทม์มิ่งคดีความสำคัญที่ล็อกตารางฟันเอาไว้

ไม่ว่าจะเป็นกรณีละเว้นปฏิบัติหน้าที่ไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว จนก่อให้เกิดความเสียหาย ในกำมือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่กางปฏิทินเชือดไว้ต้นเดือนหน้า

หรือกับจังหวะล่าสุดที่ศาลรัฐธรรมนูญหวังสยบข้อครหารวบรัด ด้วยการอนุญาตให้สอบพยานบุคคลเพิ่มในวันที่ 6 พ.ค. นี้ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องยื่นบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริง และความเห็นภายในวันที่ 29 เม.ย. นี้ หากเบี้ยวถือว่า ไม่ติดใจ

ในวันที่ 6 พ.ค. นอกจากศาลรัฐธรรมนูญจะนัดไต่สวน “ปูกรรเชียง” แล้ว ยังนัดสอบพยานอีก 3 ปาก ประกอบด้วย นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา ในฐานะผู้ร้อง นายถวิล เปลี่ยนศรี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ และ “บิ๊กน้อย” พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)

ดูจากพยานบุคคลทั้งหมด ชื่อที่น่าสนใจที่สุดคงหนีไม่พ้น “บิ๊กน้อย” ที่ “ปูกรรเชียง” ยื่นขอต่อศาลรัฐธรรมนูญให้สอบปากคำ

แน่นอนว่า การรีเควสชื่อ “บิ๊กน้อย” ครั้งนี้ ทางฝ่ายรัฐบาลรักษาการหวังไว้มิใช่น้อยว่า จะช่วยทำให้ “เกมพลิก” ส่งผลให้มะม่วงลูกนี้ขั้วเหนียวขึ้น เนื่องจากเป็นพยานปากสำคัญเกี่ยวกับอภิมหากาพย์เรื่องนี้ และยังเป็นตัวละครที่กุมความลับไว้เยอะมาก

เพราะ “บิ๊กน้อย” มีความเกี่ยวข้องกับปฐมบทเรื่องนี้ตั้งแต่ต้น เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดเรื่องราวมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะเป็นฟันเฟืองตัวสำคัญในการทำให้แผนดันก้น “บิ๊กอ๊อฟ” พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่เมีย “นายใหญ่” พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขึ้นแท่นเป็นเบอร์หนึ่งแห่งยุทธจักรสีกากีได้สำเร็จแบบไม่ต้องออกแรงมาก

ย้อนกลับไปสมัยรัฐบาลนาวาของ “ปูกรรเชียง” ผงาดกุมอำนาจใหม่ๆ ในกลางปี 2554 ตอนนั้นเป้าหมายแรกในการจัดทัพข้าราชการประจำคือ การปั้นฝันให้ “บิ๊กอ๊อฟ” ซึ่งจะเกษียณอายุราชการในปลายปีเดียวกันได้จบชีวิตบนเส้นทางราชการอย่างสวยงามด้วยการขึ้นเป็น “ผบ.ตร.”

ทว่าก็ไม่ใช่งานง่าย เมื่อมี “บิ๊กน้อย” ซึ่งถูกแต่งตั้งเป็น ผบ.ตร. ในยุครัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั่งขวางอยู่ จึงจำเป็นต้องเริ่มปฏิบัติการกรุยทางรอ โดยตอนนั้นรัฐบาลได้ส่ง “ขี้ข้าเบอร์หนึ่ง” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) อยู่ในขณะนั้นไปเกลี้ยกล่อม

ในช่วงแรก “บิ๊กน้อย” ก็กล้ำกลืนฝืนทนอยู่พักนึง จนรัฐบาลต้องเปิดโต๊ะเจรจาด้วยการยื่นข้อเสนอเรื่องเก้าอี้ระดับสูงที่เทียบเท่ากับเก้าอี้ตัวเก่าให้เพื่อให้ยอมเปิดทาง โดยเฉพาะตำแหน่งปลัดกระทรวงต่างๆ แต่ปรากฏว่าไม่ลงตัว และติดปัญหาด้านเทคนิคหลายอย่าง

จนกระทั่งรัฐบาลหันไปเห็นเก้าอี้ “เลขาธิการ สมช.” ที่มีแผนจ้องโละหัวขบวนทิ้งอยู่แล้ว เพราะมองว่า “ถวิล” เจ้าของตำแหน่งเป็น “หอกข้างแคร่” จึงเอาไปล่อ “บิ๊กน้อย” และด้วยความหอมหวานอยากมีตำแหน่งแห่งหนต่อไปในชีวิตราชการ

“ดีล” ในครั้งนั้นจึงสมประโยชน์กันในที่สุดแบบวิน - วิน

“บิ๊กน้อย” ยอมหลบไปนั่งเป็นเลขาธิการ สมช. ส่วน “บิ๊กอ๊อฟ” ผงาดขึ้นเบอร์หนึ่งของยุทธจักรโล่ห์เงินได้สมใจ แต่คนที่เดือดร้อนเต็มๆ คือ “ถวิล” เพราะถูกโยกไปทิ้งแบบไม่ไยดีในเก้าอี้ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด จนที่สุดต้องลุกขึ้นสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิของตัวเอง

ครั้งหนึ่ง “ถวิล” เคยให้สัมภาษณ์ระหว่างต่อสู้คดีว่า ถ้าวันนั้น “บิ๊กน้อย” ต่อสู้กับความไม่ถูกต้องสักนิด เรื่องจะไม่เป็นแบบนี้เลย

ตอนนั้นรัฐบาลพยายามปฏิเสธว่า การโยก “บิ๊กน้อย” มานั่งในเก้าอี้เลขาธิการ สมช. เป็นเพราะมีความเหมาะสมกับงานด้านความมั่นคง ไม่ใช่เรื่องการเจรจาแลกเปลี่ยนอย่างในข่าว แต่ปรากฏว่า ตลอดระยะเวลาดำรงตำแหน่ง เจ้าตัวกลับไม่เคยแสดงผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

ทุกครั้งที่ “บิ๊กน้อย” ถูกนักข่าวซักถามเรื่องงานด้านความมั่นคงมักจะหลบเลี่ยงอยู่เสมอ ตอบแบบตะกุกตะกัก บางครั้งต้องใช้โพยช่วย หรือมีทีมงานพรายกระซิบอยู่ข้างๆ เมื่อถูกจี้หนักๆ เข้าก็มักจะเดินหนีออกจากวงไปเลย

ขณะที่มีเสียงจากวงในว่า การปฏิบัติงานของ “บิ๊กน้อย” ผิดแปลกจากเลขาธิการ สมช. คนอื่นๆ การดำเนินการหรือการตัดสินใจเรื่องงานด้านความมั่นคงจะยกให้เป็นหน้าที่รองเลขาธิการ สมช. ทั้งหมด ส่วนตัวเองทำหน้าที่ตรายางอยู่หัวโต๊ะเท่านั้น

บางคนถึงกับค่อนแคะว่า เป็นเลขาธิการ สมช. ที่ “ยี้” ที่สุดคนหนึ่ง

กระทั่งในกลางปี 2555 ระหว่างที่ “บิ๊กน้อย” กำลังนั่งอยู่ในเก้าอี้เลขาธิการ สมช. รัฐบาลก็มีแผนจะดันเด็กในคอนโทรลอย่าง “เสธ.แมว” พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ ที่เป็นหลานชายของ นายปรีดา พัฒนถาบุตร อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นครูทางการเมืองของ “นายใหญ่” ขึ้นแท่นเป็นเบอร์หนึ่งของ สมช. เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ

จึงเริ่มจากการโยก “เสธ.แมว” จากตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ มานั่งในตำแหน่งรองเลขาธิการ สมช. เพื่อสแตนด์บายรอ หลังจากนั้นก่อนถึงฤดูการโยกย้ายในเดือน ก.ย. รัฐบาลก็ได้ดำเนินการเปิดดีลกับ “บิ๊กน้อย” อีกครั้งเพื่อให้หลบให้

แต่ “บิ๊กน้อย” เอง ซึ่งจะเกษียณอายุราชการในปี 2556 มีข้อแม้ว่าจะต้องถูกโยกในเก้าอี้ที่มีศักดิ์ศรี ปิดฉากชีวิตราชการที่เหลืออีก 1 ปี แบบมีหน้ามีตา ที่สุดจึงลงเอยกันในตำแหน่งปลัดกระทรวงคมนาคม ที่อุดมไปด้วยผลประโยชน์มหาศาล

โดยรัฐบาลประเมินแล้วว่า แม้ปลัดกระทรวงคมนาคมจะเป็นเก้าอี้สำคัญกุมขุมทรัพย์มหาศาล แต่อายุราชการของ “บิ๊กน้อย” ก็เหลือน้อยสมชื่อ จึงไม่ใช่เรื่องเสียหายหากจะยอมยกให้ เพราะสุดท้ายก็อยู่ในสายตาอยู่ดี

จึง “ปิดดีล” กันแบบวิน - วิน อีกครั้ง

แล้วก็ดัน “เสธ.แมว” ขึ้นแท่นได้สำเร็จตามปรารถนาของ “นายใหญ่”

จะเห็นได้ว่า เก้าอี้ระดับบิ๊กในช่วงบั้นปลายราชการของ “บิ๊กน้อย” ล้วนมาจากการ “ดีล” กับฝั่งอำนาจถึงสองครั้งสองครา

ฉะนั้น ความหวังที่จะให้ “บิ๊กน้อย” พูดความจริง และปอกเปลือกขบวนการแต่งตั้งเครือญาติตัวเองเป็นใหญ่ของ “ปูกรรเชียง” ในชั้นศาลรัฐธรรมนูญแทบจะริบหรี่ เพราะตัวเองก็มีแผลเหวอะหวะ ได้ประโยชน์มาก็ไม่น้อยเหมือนกัน

ยิ่ง “ปูกรรเชียง” ดึงมาเป็นพยานฝั่งตัวเองด้วยแล้ว แทบจะทายคำตอบได้ว่า ส่อแววฟอกขาวให้ “นายหญิง” แน่นอน

ต่อให้จะมีคนแอบหวังลึกๆ ในใจว่า จะมีอะไรไปดลใจให้ “บิ๊กน้อย” กลับลำลากไส้ “ปูกรรเชียง” เพราะอย่างน้อยก็เคยเป็นสายตรง “ซูเปอร์วีไอพี” และแต่งตั้งมาจาก “รัฐบาลมาร์ค” ก็ตาม

แต่โอกาส “พลิกล็อก” โคตรของโคตรน้อยเลย!!
กำลังโหลดความคิดเห็น