สะเก็ดไฟ
ห้าวเป้งเหลือเกิน ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) หรือ “ศูนย์รวมสัตว์” ของบรรดาขี้ข้านักโทษชายใจตุ๊ด
ไม่ว่าจะเป็น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รักษาการ รมว.แรงงาน ในฐานะ ผอ.ใหญ่ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ นายปลอดประสพ สุรัสวดี รักษาการรองนายกรัฐมนตรี นายชัยเกษม นิติสิริรักษาการ รมว.ยุติธรรม และนายพีระพันธุ์ พาลุสุข รักษาการ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หลังออกแถลงการณ์ฉบับที่หนึ่งท้ารบกับองค์กรอิสระ และยังนำเสนอแนวคิดอุบาทว์ต่อสังคม !!
โดยเฉพาะการพุ่งเป้าโจมตีไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่กำลังกุมคดีความสำคัญของ “ปูกรรเชียง” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เอาไว้ เหมือนเป็นการจงใจดิสเครดิตเพื่อประจานต่อสังคมจนกระทั่งถูก 2 องค์กรอิสระข้างต้นต้องขยับออกมาตอบโต้ด้วยการสอนมวยเสียจนบรรดานักกฎหมายตระกูลชินหงายหน้าหงายหลังเสียรังวัดไปไม่น้อยเหมือนกัน
ตามคิวเข้มขลังของศาลรัฐธรรมนูญที่สวนหมัดไม่สนเขี้ยวเล็บของนักการเมืองเลยว่า ศอ.รส. กำลังทำเกินหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ความมั่นคง แล้วการมาพูดในทำนองข่มขู่คุกคามระวังจะเจอมาตรการทางกฎหมายเล่นงานเอาเช่นเดียวกับป.ป.ช. ที่ขู่ฟ่อจะล่อเหมือนกันหากไม่หยุดพล่าม
แม้จะโดนด่าหน้าชาจากสององค์กรใหญ่ แต่ก็คงทำให้เหล่าขี้ข้าสะท้านสะเทือนได้ไม่นาน เพราะการแว้งกัดศาลรัฐธรรมนูญ และ ป.ป.ช. เป็นเพียงเป้าหลอกบังหน้า แต่จุดหมายปลายทางที่หวังผลจากแถลงการณ์อัปยศฉบับนี้คือ
การส่งสัญญาณออกมาขู่ฝั่งตรงข้าม ด้วยแผน “ดึงฟ้าต่ำ” ตามโมเดลของอดีตอัยการสูงสุดสายชินวัตรอย่างนายชัยเกษมที่ออกมาผุดไอเดียก่อนหน้านี้
เพราะนาทีนี้ นช.ทักษิณ ชินวัตร คนหนีคุกหนีตะรางล่วงรู้อยู่เต็มอกว่าชะตากรรมของน้องสาวในไส้ใกล้จะขาดเต็มทนจากสององค์กรอิสระดังกล่าว จึงพยายามหาช่องทางให้ตัวเองมีลมหายใจต่อ ด้วยการเปิดเกมแรงสู้ทุกทางทุกวิธีจะไม่ยอมสูญเสียอำนาจโดยเด็ดขาดต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญ หรือ ป.ป.ช. ฟันคอน้องตัวเองไปแล้วก็ตาม
จึงปล่อยหมากหันหลังพิงสถาบันหลัก
ตามข้อเสนอที่ให้ ครม.ทูลเกล้าฯขอให้ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยหากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่ายิ่งลักษณ์พ้นสภาพความเป็นรัฐมนตรี และช่วงระหว่างที่ยังไม่มีพระบรมราชวินิจฉัยก็ให้ ครม. รักษาการไปเรื่อยๆ ซึ่งถือเป็นแผนอัปยศที่ส่อเจตนาไม่ดี เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าในสถานการณ์ที่บ้านเมืองแตกเป็นขั้วสองข้าง การที่พระองค์ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา ย่อมไม่เป็นผลดี ขณะเดียวกันหากไม่มีพระบรมราชวินิจฉัยออกมา รัฐบาลก็จะยังหน้าด้านรักษาการต่อไป
การชูคอปล่อยข้อเสนอดังกล่าวออกมาในขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญ หรือ ป.ป.ช. ยังไม่มีการตัดสินจึงถือเป็นการจงใจส่งสัญญาณดักคอขู่ฝั่งตรงข้ามเลยว่า นช.ทักษิณ จะสู้แบบเลือดเข้าตาไม่ยอมรับคำตัดสิน และจะตอบโต้แบบทุกกระบวนท่า
อย่างไรก็ดี การส่งสัญญาณครั้งนี้ก็น่าสนใจไม่น้อยเหมือนกันกับการที่ใช้ ศอ.รส. เป็นแกนกลางในการส่งสาส์นท้ารบเพราะก่อนหน้านี้ศูนย์รวมสัตว์ของเหล่าขี้ข้าแทบจะถูกผู้คนลืมเลือนไปจากสังคมไปว่ายังมีตัวตนอยู่ หรือถึงมีอยู่ก็เหมือนตอไม้ไร้ความศักดิ์สิทธิ์ มีแต่ผ้าสามสีและชื่อปักคาเพื่อผลาญงบประมาณแผ่นดินไปวันๆ เท่านั้น นอกเสียจากรายการเรียกแขกรายวันที่ขยันพ่นน้ำลาย ผลงานอยู่ในระดับความเลวมากมีแต่ความดีไม่ปรากฏ
แต่หากจับจุดดูสถานะโดยรวมของรัฐบาลรักษาการตอนนี้ ก็มีเพียงแค่ศูนย์รวมสัตว์ที่เดียวที่พอจะมีสถานะทางกฎหมายรองรับพอกล้อมแกล้ม เพราะก่อตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.ความมั่นคง ในขณะที่ส่วนงานอื่นๆ ของรัฐบาลได้ง่อยเปลี้ยเสียขาเป็นอัมพาตปิดเทอมยาวไปหมดแล้ว
ดังนั้นหากจะยึดเป็นพื้นที่เปิดศึกทำสงครามข่าวสารก็น่าจะพอได้ยิ่งมีเสนาบดีประเภทปากปีจออยู่ในโครงสร้างถือว่าครบเซต
ขณะเดียวกัน ยังพอหากินแอบอ้างความชอบธรรมจากศูนย์รวมสัตว์ที่มีทหารอยู่ในโครงสร้างคณะกรรมการได้จึงพอจะมีใบบุญให้คุ้มกะลาหัวตอบโต้ตีกินองค์กรอิสระไปได้ ทั้งที่จริงมติดังกล่าวอาจไม่มีทหารหรือกรรมการคนอื่นหารือด้วยก็ตามแต่มุบมิบเป็นตุเป็นตะว่าเป็นผลการประชุมของ ศอ.รส.
เมื่อยังพอเป็นกระบอกเสียงได้ เลยงัดเอามาใช้ประโยชน์โดยประเดิมงานแรกด้วยการชวนองค์กรอิสระทะเลาะ พลางเป่าแตรตีเกราะท้ารบไม่ยอมให้ถูกรุกไล่อย่างเดียว แต่จะขอตอบโต้ทุกเม็ดทุกดอกที่ถูกจัดวางยุทธศาสตร์มาเหมือนกับแถลงการณ์ที่ออกมาเกินหน้าที่ตัวเอง
นอกจากใช้เป็นแกนกลางในการเปิดหน้าสู้ฝั่งตรงข้ามยังจะใช้ศูนย์รวมสัตว์ในการปลุกใจพวกเดียวกันอย่างคนเสื้อแดงให้มีกระแสต่อต้านออกมาเยอะๆ โดยอาศัยคำให้สัมภาษณ์ของพวกปากดีใน ศอ.รส. เสมือนเป็นการเผาหัวรอองค์กรอิสระตัดสิน
ที่สำคัญของการเลือกใช้ศูนย์รวมสัตว์เป็นแกนหลักเลยคือ “ขี้ข้าเหลิม” ที่หายตัวไปช่วงสงกรานต์ตามข่าวว่าไปรับงานมาจาก “นายใหญ่” รวมถึงคิวนายชัยเกษมออกมาชูข้อเสนอแนะก็ไม่ได้โพล่งออกมามั่วๆ แต่มาจากแผนการที่สุมหัวกันมาทั้งนั้น ทำกันเป็นขั้นเป็นตอนเริ่มจากการโยนข้อเสนอให้สังคมวิพากษ์ ก่อนจะเคาะเป็นผลประชุม ศอ.รส.
ดังจะเห็นได้ว่า พลันพ้นช่วงสงกรานต์ แค่ “ขี้ข้าเหลิม” นั่งหัวโต๊ะประชุม ศอ.รส. ครั้งแรกหลังจากหยุดยาวก็เห็นชอบกันอย่างฉับไว ไม่ได้มีถกการอะไรมากมาย ว่ากันว่าที่อาสาตัวเป็นหัวเรือใหญ่ สวมบทเป็นหมาบ้าก็เพราะหวังจะได้ดิบได้ดีน่ะแหละ
การที่เจ้าตัวยอมเปลืองตัวสู้เรื่องนี้เต็มที่แบบไม่แทงกั๊กเหมือนแต่ก่อน ก็หวังจะทำผลงานชิ้นโบดำให้เป็นที่ประจักษ์ยิ่งในช่วงบั้นปลายของชีวิตการเมืองที่เหลือไม่อีกกี่ปี ใครก็อยากได้ดิบได้ดีในตำแหน่งใหญ่โตจุดสูงสุดในชีวิตอย่างเก้าอี้นายกรัฐมนตรีทั้งนั้น
โดยเฉพาะกรณีหากถึงวันที่ตระกูลชินวัตรต้องถูกเว้นวรรคทางการเมือง ดีไม่ดีส้มหล่นลงใส่หัวขึ้นมาจะทำอย่างไร ในฐานะที่ก็มีความดีความชอบเอาไว้กับ “นายใหญ่” เหมือนกัน
หลังจากนี้ยิ่งต้องจับตาดูบทบาทของศูนย์รวมสัตว์ภายใต้การบังคับบัญชาการของขี้ข้าเบอร์หนึ่งของตระกูลชินวัตรให้ดีว่าจะมาไม้ไหน มีเกมอะไร เพราะถูกเลือกให้เป็นแกนกลางในการท้ารบ