“วิชา” ระบุการทุจริตเป็นปัญหาระดับโลก มีสายโยงใยไปนอกประเทศ เชื่อมโยงเครือข่ายอาชญากรรม ระบบอุปถัมภ์ทำไทยตกต่ำ จี้ขจัดคนชั่วออกจากระบบ แฉองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นช่องทางหาเงินแหล่งใหญ่ให้นักการเมืองระดับชาติ ขณะเดียวกันการคอร์รัปชันมีผลต่อการลงทุนของต่างชาติ แฉวงการสาธารณสุขไทยถูกครอบงำโดยบริษัทผู้ผลิตยา
นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวปาฐกถาเรื่อง “การทุจริต การเมือง ความอยู่รอดของประเทศ” ตอนหนึ่งว่า ปัญหาการทุจริตเป็นปัญหาระดับโลกไม่ใช่แค่ระดับชาติ เพราะปัญหานี้มีสายใยโยงไปนอกประเทศ และมีแนวโน้มการโยกย้ายทรัพย์สินออกไปรวมถึงมีการเชื่อมโยงกับเครือข่ายอาชญากรรมนอกประเทศ จึงถือว่ามีความรุนแรงที่สุดแต่รัฐบาลชุดต่างๆ ที่ผ่านมา ไม่สามารถทำได้อย่างเด็ดขาด และกฎหมายที่เรามีอยู่ก็ไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่ จึงต้องมีการรื้อกฎหมาย
ทั้งนี้ หลายประเทศระบุว่า ประเทศไทยตกต่ำกว่าฟิลิปปินส์ เพราะประเทศไทยอยู่ในวังวนระบบอุปถัมภ์ แม้แต่การแต่งตั้งอธิบดีหลายกรมมักมาตามระบบอุปถัมภ์ ดังนั้นประเทศไทยต้องแก้ไขในทางที่ขจัดคนชั่วออกไปจากระบบให้ได้ไม่มีทางอื่นเด็ดขาด เราอย่าบอกว่าให้คนทุจริตเข้าไปบริหารประเทศก็ได้ เพราะแค่เวลาเพียง 4 ปี แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้น เพราะคนพวกนั้นไม่ออกไปง่ายๆ ไม่ปล่อย และซื้อคนเอาไว้หมดแล้ว อีกทั้งการจัดซื้อจัดจ้างของ อบจ., อบต.และเทศบาลเป็นแหล่งหาเงินแหล่งใหญ่ เนื่องจากตอนนี้งบประมาณแผ่นดินลงไปสู่ท้องถิ่นจำนวนมากที่สุด ถ้าใครจะพยายามเข้าไปแข่งขันโดยที่ไม่ใช่พวกเขา ความตายจะเข้ามาถึงคนคนนั้น เนื่องจากคนในระดับท้องถิ่นถูกวางตัวไว้โดยคนระดับชาติเพื่อให้หาเงินขึ้นมา
นอกจากนี้ผลกระทบจากคดีทุจริตมีผลมากที่สุดต่อการลงทุนทั้งในและนอกประเทศ โดยปกติใครที่จะมาลงทุน เขาจะดูว่าประเทศนั้นๆ มีการเอื้อให้มีการแข่งขันอย่างเสรีหรือไม่ แต่เขารู้หมดแล้วว่าถ้าจะมาลงทุนในไทย จะต้องจัดเตรียมกระเป๋ามาจ่ายใต้โต๊ะในการลงทุนหรือแข่งขันในประเทศเรา ดังนั้นประเทศไทยต้องแก้ไขเรื่องนี้ด้วยการสร้างระบบคุ้มครองคนที่เข้ามาลงทุนแข่งขันทางธุรกิจไม่ให้ถูกการทุจริตเบียดบัง ขณะเดียวกันต้องไม่ปล่อยให้ภาคธุรกิจไปทำลายสิ่งแวดล้อมของเรา
นายวิชา กล่าวอีกว่า แม้เรามีการใช้ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 (พ.ร.บ.ฮั้ว) แต่ก็ต้องมาใช้ยาแรงขึ้น คือบทบัญญัติที่ว่าด้วยการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคล และประโยชน์ส่วนรวมแก่ผู้บริหารท้องถิ่นรวมถึงการห้ามรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ตามมาตรา 100 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542
อย่างไรก็ตาม คนระดับปลัดกระทรวงและคนในองค์กรท้องถิ่นนั้น ส่วนใหญ่เป็นคนที่ทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างทั้งสิ้นหรือเป็นลูกหลานหรือญาติของคนเหล่านั้น ดังนั้นคนที่จะดำรงตำแหน่งเหล่านี้จึงควรต้องสละหุ้นในธุรกิจทั้งหมดมิฉะนั้นอาจจะทำหน้าที่ ที่ไปเข้าข้างบริษัทนั้นๆ
นอกจากนี้ กระบวนการทุจริตที่ร้ายแรงที่สุดคือ แผนงานหรือโครงงานเกี่ยวกับสาธารณสุข แม้เคยมีการจับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับบริษัทผลิตยาแต่ตอนนี้ยังมีปัญหาเช่นนี้เหมือนเดิม โดยแพทย์ยังอยู่ภายใต้อิทธิพลของบริษัทยา เพราะบริษัทยายังเป็นผู้สนับสนุนการจัดงานต่างๆ ของโรงพยาบาลจึงหลีกหนีไม่พ้นเลย แม้แต่คนในวงการสาธารณสุขยอมรับว่าแต่ละบริษัทมีคนของตัวเองฝังอยู่ในกระทรวงสาธารณสุข
นายวิชา กล่าวว่า การกระทำทุจริตไม่ใช่ดำเนินการโดยข้าราชการที่เป็นหน้าห้องเท่านั้นเพราะขณะนี้มีการตั้งทีมงาน ซึ่งไม่ใช่ข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาทำแทน ซึ่ง ป.ป.ช.สามารถตรวจสอบได้เพียงผู้ที่เป็นข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้น ซึ่งประเด็นนี้ในหลายประเทศมีการแก้ไขกฎหมาย เพื่อมาแก้ปัญหาดังกล่าวแล้ว อีกทั้งการทุจริตยังเกี่ยวข้องกับการดูแลสิทธิมนุษยชน ซึ่งเพราะถ้าไม่ปราบปรามทุจริตนักการเมืองก็จะเอาเศษเงินให้ประชาชน ทำให้ประชาชนถูกกดขี่ตลอดไป
ดังนั้น ถ้าเราปล่อยให้การทุจริตถูกฝังลึกอยู่ในความเชื่อที่ว่า “โกงได้ไม่เป็นอะไร” สังคมจะถูกทำลาย เราจึงต้องสร้างรูปแบบใหม่ในการสอนคุณธรรม จริยธรรม ให้คนเรียนรู้เรื่องของการขัดกันของผลประโยชน์ตั้งแต่เด็กเล็กได้เห็นด้วยตาว่าอะไรเป็นอะไร และจะมีผลตามมาเป็นอย่างไรเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมคนไทยตั้งแต่เด็กเล็ก ทำให้หลักการหรืออุดมการณ์เป็นเรื่องส่วนรวมเพื่อให้เป็นพื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยมิฉะนั้นจะส่งผลต่อความไม่เชื่อถือการเมืองหรือนักการเมือง แต่ถ้าเรายังปล่อยไว้ จะทำให้ประชาชนอยู่ร่วมกันไม่ได้อีกเกิดความขัดแย้งอย่างหนัก จึงต้องมีการกลั่นกรองคน และมีการตรวจสอบจริงจังและที่สำคัญคือต้องไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน