รายงานการเมือง
พลันที่ “สมชัย ศรีสุทธิยากร” กกต.ด้านบริหารงานเลือกตั้ง ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่าในวันนี้ (17 มี.ค.) “7 องค์กรอิสระ” เตรียมหารือและแถลงข่าวจัดทำโรดแมปทางออกประเทศ ฟังเผินๆ เหมือนจะมีแสงสว่างปลายอุโมงค์
เพราะนี่ถือเป็นความพยายามอีกครั้งของ “กกต.สมชัย” ซึ่งเดินเครื่องอย่างหนักมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ มีแต่ข่าวครึกโครมอย่างเมื่อครั้งเป็น “ดีลเมกเกอร์” นัดระดับคีย์แมนของคู่ขัดแย้งมาคุยกันได้ ครั้งนั้นมี “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” หารือกับ “หลวงปู่พุทธะอิสระ”
แต่สุดท้ายก็ต้องล่มไป เพราะผิดคิวกันหลังคุยจบ!!!
ผลที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่า “กกต.สมชัย” มีเพียงความพยายาม แต่ยังไร้บารมี ที่จะเสนอตัวเข้ามาเป็น “คนกลาง” ในการเจรจากาทางออกประเทศ หรือหาทางลงให้กับทั้งสองฝ่าย จึงน่าจะเป็นสาเหตุการเชื้อเชิญองค์กรอิสระต่างๆ เข้ามาร่วมกระบวนการด้วย เพื่อเสริมส่งบารมีให้เป็นที่เชื่อถือมากกว่าการลุยเดี่ยว ที่เคยเหนื่อยฟรีมาแล้ว
7 องค์กรอิสระที่ว่า ประกอบด้วย 1. คณะกรรมการการเลือกตั้ง 2. ผู้ตรวจการแผ่นดิน 3. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) 4. คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน 5. องค์กรอัยการ 6. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และ 7. สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ทว่า แสงสว่างปลายอุโมงค์ส่องแสงได้ไม่ถึง 1 วัน ก็ต้องดับหายไป เมื่อ “อัยการ” ประกาศถอนตัวไม่เข้าร่วมวง โดยให้เหตุผลว่าไม่สามารถเข้าร่วม เพราะเป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ถือเป็นข้ออ้างที่เอาตัวรอดไปได้แบบเอาสีข้างเข้าถูก
แต่หากวิเคราะห์ลงรายละเอียดแล้ว “อัยการ” ยุคนี้มีความแนบชิดกับระบอบทักษิณมากเป็นพิเศษ อย่าง “อรรถพล ใหญ่สว่าง” อัยการสูงสุด รู้จักมักคุ้นกันดีกับ “ชัยเกษม นิติสิริ” รักษาการ รมว.ยุติธรรม
จึงไม่แปลกที่อัยการ ต้องออกแอ็กชันถอนตัวทันที เพราะรู้ดีว่าจุดยืนของ 7 องค์กรไม่เอื้ออำนวยต่อ “นายใหญ่” แน่นอน จึงมีสัญญาณจาก “ชัยเกษม” ให้ถอยออกมาก่อน
เด้งแรก-ได้ภาพของอัยการดูดีขึ้นมานิดหน่อยทันตา เด้งสอง-ได้ดิสเครดิตของ “6 องค์กรอิสระ” ที่เหลือ เปิดทางให้ “ลูกหาบเพื่อไทย” ออกมาสับได้ถนัดมือ และเหลือองค์กรอิสระที่จะมาเสนอทางออกประเทศแค่ 6 องค์กรเท่านั้น
ทว่า แม้ “สมชัย” จะอาสาเป็นมือดีลจัดรูปแบบหาทางออกประเทศ แต่ดีล “องค์กรอิสระ” ก็ไม่น่าที่จะไปได้ตลอดรอดฝั่ง นั่นเพราะคู่ขัดแย้งตัวจริงไม่ได้เข้ามาร่วมเสนอหาทางออกด้วย แม้จะมีการยื่นข้อเสนอกันลับๆ แต่ก็เป็นฝั่ง กปปส.ที่มีเงื่อนไขเดียวคือ ให้ “ยิ่งลักษณ์” ลาออกจากรักษาการนายกฯ เพื่อเปิดช่องให้มี “นายกฯ คนกลาง” นำไปสู่การขจัดระบอบทักษิณ ตามที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ นำมาชูประเด็นชุมนุม
จึงแทบที่จะไม่มีทางอื่นเลยที่จะทำให้ กปปส.ยอมรับได้ รวมไปถึงจุดยืนการไล่เบี้ย เอาปิดกับพวกทุจริตคอร์รัปชัน ที่มี “ทักษิณ” เป็นหัวโจก ทั้งยังตั้งธงลากคอหัวโจกที่หลบหนีคดีอยู่นานหลายปี มารับโทษทัณฑ์ในบ้านเกิดให้ได้
เงื่อนไขขจัดระบอบทักษิณ เป็นที่ต้องการของ “มวลมหาประชาชน” ดังนั้น หาก “สุเทพ-กปปส.” ไปยอมรับเงื่อนไขอื่นนอกเหนือไปจากที่ประกาศไว้ มีหวังต้องตกที่นั่งเป็นศัตรูกับมวลมหาประชาชนเสียเอง
จึงฟันธงได้เลยว่า “สุเทพ-กปปส.” ไม่มีทางที่จะยอมรับเงื่อนไขอื่น นอกจากให้ ยิ่งลักษณ์ ลาออกจากตำแหน่ง เพราะถ้ายอมรับเงื่อนไขอื่นเชื่อว่าได้ไม่คุ้มเสีย
สู้อดทนรออีกนิด ป.ป.ช.ก็จะมีคำตัดสินกรณีโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งตามที่คาดการณ์กันเชื่อว่า “ทายาทอสูร” จะอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว
ฝั่ง “นายใหญ่-เพื่อไทย-เสื้อแดง” มีข่าวมาว่าได้ยื่นข้อเสนอให้ กปปส.ยุติการชุมนุม ก่อนที่จะเปิดทางในการเจรจาต่อไป วางเงื่อนไขไว้แบบทะลุซอย ทั้งการลบล้างความผิดให้แก่ “ทักษิณ” รวมทั้งห้ามนำตัว “ยิ่งลักษณ์” มาขึ้นเขียงเชือดเป็นอันขาด ทั้งที่วันนี้ตัว “ยิ่งลักษณ์” ที่ไม่มีทางกลับไปเป็น “ผู้หญิง” ใสซื่อธรรมดาสามัญชนได้อีกแล้ว แต่ก็จะเอาให้เสมือนเป็นคนบริสุทธิ์ไร้มลทินทั้ง พี่ชาย-น้องสาว รวมทั้งเปิดทางให้ทักษิณ กลับมาลงสนามเล่นการเมืองอีกครั้งด้วย
เทียบข้อเสนอ-เงื่อนทั้งสองฝ่าย มองมุมไหนก็ไม่มีทางมาบรรจบ หาจุดลงตัวกันได้ เหมือนสีขาว-ดำ ที่อยู่กันคนละมุม ยากจะมารวมตัวกันได้
มองมุมไหนก็ไม่มีทางเจรจากันลงตัวได้ หากยึดมั่นถือมั่นในจุดยืนของตัวเอง
ความพยายามของเหล่าองค์กรอิสระที่ออกมาร่วมแสวงหาทางออกประเทศ ถือว่าเป็นความปรารถนาดี แต่การตั้งธงที่ “การเจรจา” นั้นทำให้หนทางที่จะบรรลุผลนั้นมืดมน
และต้องไม่ลืมว่าเหล่าองค์กรอิสระเองก็ถูก “กลุ่มคนเสื้อแดง” ผลักไปอยู่ฝั่งเดียวกับ กปปส.นานแล้ว
ฉะนั้น หากเอ่ยชื่อองค์กรอิสระ แม้จะดูดี ดูใหญ่โต มีสง่าราศี แต่แทบที่จะไม่มีเครดิตในสังคมไทยให้เหลืออีกแล้ว หากมาเสนอเป็น “ตัวกลาง” หาทางออกให้ประเทศ คงไม่มีใครรับฟัง
สังคมไทยเวลานี้ ไม่มีใครรับฟังกันง่ายๆ หากเสนอตัวเมื่อไร ก็จะถูกฝั่งตรงข้ามขุดคุ้ยอดีตขึ้นมา เพื่อโจมตีใส่ร้ายได้ทุกคน-ทุกเวลา
ชั่วโมงนี้ “คู่ขัดแย้ง” ไม่มีทางที่จะมาเจอกันครึ่งทาง หรือจบแบบ “วิน-วิน” ได้อีกต่อไป มีแต่จะเดินเข้าสู่โหมดของการสู้รบ รอเพียงสถานการณ์ให้สุกงอมเต็มที่เท่านั้น
นปช. คิดว่าต้องรบหนัก จึงต้อง “เปลี่ยนม้ากลางศึก” เปลี่ยนหัวขบวนจาก “ธิดา ถาวรเศรษฐ” มาเป็น “จตุพร พรหมพันธุ์”
กปปส. รบแบบมี “เพื่อน” ที่ทุกองคาพยพไม่เอา “ระบอบทักษิณ” ร่วมด้วยช่วยกันที่จะปราบ “ระบอบทักษิณ” ให้ราบคาบ เพื่อลูกหลานคนไทยในอนาคต
ทว่า ทั้งสองขั้วยังไม่มีใครรู้ว่าศึกครั้งนี้จะรบกันนานเท่าไร แต่ยิ่งรบนานประเทศไทยยิ่งบอบช้ำ ช้ำทั้งระบบเศรษฐกิจ ช้ำทั้งเรื่องความสมัครสมานสามัคคีหนทางในการเจรจายังคงมีอยู่ แต่ไม่มีทางที่จะสำเร็จ!!!
พลันที่ “สมชัย ศรีสุทธิยากร” กกต.ด้านบริหารงานเลือกตั้ง ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่าในวันนี้ (17 มี.ค.) “7 องค์กรอิสระ” เตรียมหารือและแถลงข่าวจัดทำโรดแมปทางออกประเทศ ฟังเผินๆ เหมือนจะมีแสงสว่างปลายอุโมงค์
เพราะนี่ถือเป็นความพยายามอีกครั้งของ “กกต.สมชัย” ซึ่งเดินเครื่องอย่างหนักมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ มีแต่ข่าวครึกโครมอย่างเมื่อครั้งเป็น “ดีลเมกเกอร์” นัดระดับคีย์แมนของคู่ขัดแย้งมาคุยกันได้ ครั้งนั้นมี “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” หารือกับ “หลวงปู่พุทธะอิสระ”
แต่สุดท้ายก็ต้องล่มไป เพราะผิดคิวกันหลังคุยจบ!!!
ผลที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่า “กกต.สมชัย” มีเพียงความพยายาม แต่ยังไร้บารมี ที่จะเสนอตัวเข้ามาเป็น “คนกลาง” ในการเจรจากาทางออกประเทศ หรือหาทางลงให้กับทั้งสองฝ่าย จึงน่าจะเป็นสาเหตุการเชื้อเชิญองค์กรอิสระต่างๆ เข้ามาร่วมกระบวนการด้วย เพื่อเสริมส่งบารมีให้เป็นที่เชื่อถือมากกว่าการลุยเดี่ยว ที่เคยเหนื่อยฟรีมาแล้ว
7 องค์กรอิสระที่ว่า ประกอบด้วย 1. คณะกรรมการการเลือกตั้ง 2. ผู้ตรวจการแผ่นดิน 3. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) 4. คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน 5. องค์กรอัยการ 6. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และ 7. สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ทว่า แสงสว่างปลายอุโมงค์ส่องแสงได้ไม่ถึง 1 วัน ก็ต้องดับหายไป เมื่อ “อัยการ” ประกาศถอนตัวไม่เข้าร่วมวง โดยให้เหตุผลว่าไม่สามารถเข้าร่วม เพราะเป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ถือเป็นข้ออ้างที่เอาตัวรอดไปได้แบบเอาสีข้างเข้าถูก
แต่หากวิเคราะห์ลงรายละเอียดแล้ว “อัยการ” ยุคนี้มีความแนบชิดกับระบอบทักษิณมากเป็นพิเศษ อย่าง “อรรถพล ใหญ่สว่าง” อัยการสูงสุด รู้จักมักคุ้นกันดีกับ “ชัยเกษม นิติสิริ” รักษาการ รมว.ยุติธรรม
จึงไม่แปลกที่อัยการ ต้องออกแอ็กชันถอนตัวทันที เพราะรู้ดีว่าจุดยืนของ 7 องค์กรไม่เอื้ออำนวยต่อ “นายใหญ่” แน่นอน จึงมีสัญญาณจาก “ชัยเกษม” ให้ถอยออกมาก่อน
เด้งแรก-ได้ภาพของอัยการดูดีขึ้นมานิดหน่อยทันตา เด้งสอง-ได้ดิสเครดิตของ “6 องค์กรอิสระ” ที่เหลือ เปิดทางให้ “ลูกหาบเพื่อไทย” ออกมาสับได้ถนัดมือ และเหลือองค์กรอิสระที่จะมาเสนอทางออกประเทศแค่ 6 องค์กรเท่านั้น
ทว่า แม้ “สมชัย” จะอาสาเป็นมือดีลจัดรูปแบบหาทางออกประเทศ แต่ดีล “องค์กรอิสระ” ก็ไม่น่าที่จะไปได้ตลอดรอดฝั่ง นั่นเพราะคู่ขัดแย้งตัวจริงไม่ได้เข้ามาร่วมเสนอหาทางออกด้วย แม้จะมีการยื่นข้อเสนอกันลับๆ แต่ก็เป็นฝั่ง กปปส.ที่มีเงื่อนไขเดียวคือ ให้ “ยิ่งลักษณ์” ลาออกจากรักษาการนายกฯ เพื่อเปิดช่องให้มี “นายกฯ คนกลาง” นำไปสู่การขจัดระบอบทักษิณ ตามที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ นำมาชูประเด็นชุมนุม
จึงแทบที่จะไม่มีทางอื่นเลยที่จะทำให้ กปปส.ยอมรับได้ รวมไปถึงจุดยืนการไล่เบี้ย เอาปิดกับพวกทุจริตคอร์รัปชัน ที่มี “ทักษิณ” เป็นหัวโจก ทั้งยังตั้งธงลากคอหัวโจกที่หลบหนีคดีอยู่นานหลายปี มารับโทษทัณฑ์ในบ้านเกิดให้ได้
เงื่อนไขขจัดระบอบทักษิณ เป็นที่ต้องการของ “มวลมหาประชาชน” ดังนั้น หาก “สุเทพ-กปปส.” ไปยอมรับเงื่อนไขอื่นนอกเหนือไปจากที่ประกาศไว้ มีหวังต้องตกที่นั่งเป็นศัตรูกับมวลมหาประชาชนเสียเอง
จึงฟันธงได้เลยว่า “สุเทพ-กปปส.” ไม่มีทางที่จะยอมรับเงื่อนไขอื่น นอกจากให้ ยิ่งลักษณ์ ลาออกจากตำแหน่ง เพราะถ้ายอมรับเงื่อนไขอื่นเชื่อว่าได้ไม่คุ้มเสีย
สู้อดทนรออีกนิด ป.ป.ช.ก็จะมีคำตัดสินกรณีโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งตามที่คาดการณ์กันเชื่อว่า “ทายาทอสูร” จะอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว
ฝั่ง “นายใหญ่-เพื่อไทย-เสื้อแดง” มีข่าวมาว่าได้ยื่นข้อเสนอให้ กปปส.ยุติการชุมนุม ก่อนที่จะเปิดทางในการเจรจาต่อไป วางเงื่อนไขไว้แบบทะลุซอย ทั้งการลบล้างความผิดให้แก่ “ทักษิณ” รวมทั้งห้ามนำตัว “ยิ่งลักษณ์” มาขึ้นเขียงเชือดเป็นอันขาด ทั้งที่วันนี้ตัว “ยิ่งลักษณ์” ที่ไม่มีทางกลับไปเป็น “ผู้หญิง” ใสซื่อธรรมดาสามัญชนได้อีกแล้ว แต่ก็จะเอาให้เสมือนเป็นคนบริสุทธิ์ไร้มลทินทั้ง พี่ชาย-น้องสาว รวมทั้งเปิดทางให้ทักษิณ กลับมาลงสนามเล่นการเมืองอีกครั้งด้วย
เทียบข้อเสนอ-เงื่อนทั้งสองฝ่าย มองมุมไหนก็ไม่มีทางมาบรรจบ หาจุดลงตัวกันได้ เหมือนสีขาว-ดำ ที่อยู่กันคนละมุม ยากจะมารวมตัวกันได้
มองมุมไหนก็ไม่มีทางเจรจากันลงตัวได้ หากยึดมั่นถือมั่นในจุดยืนของตัวเอง
ความพยายามของเหล่าองค์กรอิสระที่ออกมาร่วมแสวงหาทางออกประเทศ ถือว่าเป็นความปรารถนาดี แต่การตั้งธงที่ “การเจรจา” นั้นทำให้หนทางที่จะบรรลุผลนั้นมืดมน
และต้องไม่ลืมว่าเหล่าองค์กรอิสระเองก็ถูก “กลุ่มคนเสื้อแดง” ผลักไปอยู่ฝั่งเดียวกับ กปปส.นานแล้ว
ฉะนั้น หากเอ่ยชื่อองค์กรอิสระ แม้จะดูดี ดูใหญ่โต มีสง่าราศี แต่แทบที่จะไม่มีเครดิตในสังคมไทยให้เหลืออีกแล้ว หากมาเสนอเป็น “ตัวกลาง” หาทางออกให้ประเทศ คงไม่มีใครรับฟัง
สังคมไทยเวลานี้ ไม่มีใครรับฟังกันง่ายๆ หากเสนอตัวเมื่อไร ก็จะถูกฝั่งตรงข้ามขุดคุ้ยอดีตขึ้นมา เพื่อโจมตีใส่ร้ายได้ทุกคน-ทุกเวลา
ชั่วโมงนี้ “คู่ขัดแย้ง” ไม่มีทางที่จะมาเจอกันครึ่งทาง หรือจบแบบ “วิน-วิน” ได้อีกต่อไป มีแต่จะเดินเข้าสู่โหมดของการสู้รบ รอเพียงสถานการณ์ให้สุกงอมเต็มที่เท่านั้น
นปช. คิดว่าต้องรบหนัก จึงต้อง “เปลี่ยนม้ากลางศึก” เปลี่ยนหัวขบวนจาก “ธิดา ถาวรเศรษฐ” มาเป็น “จตุพร พรหมพันธุ์”
กปปส. รบแบบมี “เพื่อน” ที่ทุกองคาพยพไม่เอา “ระบอบทักษิณ” ร่วมด้วยช่วยกันที่จะปราบ “ระบอบทักษิณ” ให้ราบคาบ เพื่อลูกหลานคนไทยในอนาคต
ทว่า ทั้งสองขั้วยังไม่มีใครรู้ว่าศึกครั้งนี้จะรบกันนานเท่าไร แต่ยิ่งรบนานประเทศไทยยิ่งบอบช้ำ ช้ำทั้งระบบเศรษฐกิจ ช้ำทั้งเรื่องความสมัครสมานสามัคคีหนทางในการเจรจายังคงมีอยู่ แต่ไม่มีทางที่จะสำเร็จ!!!