เลขาธิการนายกฯ ชักแม่น้ำทั้งห้าย้าย “ถวิล” ล่าช้า อ้างซับซ้อนแต่ยังยืนยันว่าทัน 45 วัน แก้ต่างแทน “พงศ์เทพ” ไม่ทันศาลไม่ได้ลงโทษอะไรแต่ยังปฏิบัติ แต่เย้ยเทียบ “เพรียวพันธ์” ไม่ได้ เชื่อคุยกันได้หากต้องทำงานร่วมกัน ยันรัฐบาลเปิดช่อง กปปส.เจรจา เสียงอ่อยรับได้หากศาลวินิจฉัยเลือกตั้ง 2 ก.พ.โมฆะ พร้อมปฏิบัติตาม
วันนี้ (10 มี.ค.) ที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน เมื่อเวลา 13.00 น. นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีศาลปกครองสูงสุดมีคำวินิจฉัยให้รัฐบาลคืนตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้นายถวิล เปลี่ยนศรี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ว่าเรื่องนี้มีขั้นตอนเยอะต้องทำให้ถูกต้อง และต้องไปดูผลกระทบ เรื่องของตำแหน่งสวัสดิการต่างๆ ดังนั้นต้องใช้เวลาพอสมควรแต่ยืนยันว่าทันภายใน 45 วันแน่นอน วันนี้ได้คุยกับเลขา ก.พ.ร.แล้วจะได้ดูขั้นตอนที่ถูกต้องต่อไป เพราะเรื่องนี้ถือว่าซับซ้อน เนื่องจากมีทั้งเรื่องของกฎหมายและขั้นตอนต่างๆ อีกทั้งต้องหารือกับกับ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาฯ สมช. ที่จะไปอยู่ในตำแหน่งต่อไปด้วย จากนั้นจึงจะแจ้งให้นายกฯ ลงนาม ขณะเดียวกันเรื่องนี้จะต้องนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีด้วย และจะต้องแจ้งให้คณะกรรมการการเลือกตั้งรับทราบด้วย
เมื่อถามว่า หากการคืนตำแหน่งใช้ระยะเวลาเกิน 45 วัน ตามที่ศาลปกครองกำหนดจะเป็นปัญหาหรือไม่ นายสุรนันทน์กล่าวว่า ความจริงไม่ได้มีบทลงโทษอะไร แต่โดยหลักแล้วควรจะทำให้เสร็จสิ้นภายใน 45 วัน ส่วนกรณีที่นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่าถ้าเกิน 45 วันศาลก็ไม่สามารถมาบังคับรัฐบาลได้นั้น เป็นเพียงความต้องการที่จะบอกว่า ถ้าเกิน 45 วันก็ไม่ได้มีบทลงโทษอะไร แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ปฏิบัติตาม เราจะทำให้ดีที่สุดถ้าขั้นตอนต่างๆ ชัดเจนก็ปฏิบัติได้
เมื่อถามว่า นายถวิลอาจจะไปร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต หรือ ป.ป.ช. ว่าเป็นนการกลั่นแกล้งทางการเมือง ไม่ใช่การบริหารแผ่นดินที่ผิดพลาด เลขาธิการนายกฯ กล่าวว่า นายถวิลรู้ดีเพราะอยู่ในตำแหน่งและหน่วยงานที่สำคัญของรัฐบาล ซึ่งน่าจะเห็นใจว่าถ้ารัฐบาลใหม่มาก็ต้องมีมือมีไม้ที่จะต้องใช้ของตัวเอง ซึ่งตนมองว่าเป็นเรื่องปกติของการบริหารราชการแผ่นดิน เพียงแต่ว่าการที่ศาลมีคำสั่งเช่นนี้แสดงว่าต่อไปถ้ารัฐบาลจะโยกย้ายใครก็ต้องให้เหตุผลที่ชัดเจนเพื่อให้เห็นชัดว่ารัฐบาลไม่ได้ใช้ความลำเอียง ซึ่งการโยกย้ายลักษณะเช่นนี้ก็มีมาตลอด เมื่อมีการไปฟ้องก็มีทั้งแพ้และชนะ และกรณีของนายถวิลคงจะไปเทียบกับกรณีของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ อดีต ผบ.ตร.ไม่ได้
เมื่อถามว่าเรื่องนี้จะกระทบต่อตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นายสุรนันทน์กล่าวว่า คิดว่านายถวิลเข้าใจการบริหารราชการแผ่นดิน ดังนั้นถ้าเข้าใจตรงกันทำตามที่ศาลวินิจฉัยก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร ส่วนเรื่องการทำงานร่วมกันนั้นเป็นเรื่องที่นายกฯ และรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงจะคุยกับนายถวิลว่าจะสามารถทำงานร่วมกันได้หรือไม่ เพราะนายถวิล มีบทบาทสำคัญและขึ้นเวที กปปส.อยู่ เพราะฉะนั้นต้องมาทำความเข้าใจว่า แนวคิดตรงกันหรือไม่ จะทำงานร่วมกันได้หรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามต้องรอให้ถึงจุดนั้นก่อน อย่าเพิ่งไปคิดล่วงหน้าว่าถ้าทำงานร่วมกันแล้วความลับราชการจะหลุดออกมา ซึ่งที่ผ่านมานายถวิล ก็พูดมาตลอดว่าพร้อมที่จะทำงานให้ประเทศชาติ ดังนั้นก็น่าจะคุยกันได้ และกว่าจะถึงวันนั้นม็อบอาจจะจบแล้วก็ได้
นายสุรนันทน์ยังกล่าวประเมินสถานการณ์การเมืองขณะนี้ว่า คิดว่าสถานการณ์ขณะนี้ยังอยู่ในจุดที่พูดคุยกันได้ ตนเชื่อว่าทั้งในประเทศและต่างประเทศไม่อยากเห็นการปะทะกัน เพราะความรุนแรงไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อประเทศ วันนี้บรรยากาศทางด้านเศรษฐกิจตกต่ำพอสมควร ถ้าสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไปก็จะเกิดปัญหาขึ้นอีกมาก โดยจะกระทบทั้งเศรษฐกิจและปัญหาปากท้องของประชาชน ดังนั้นจึงเชื่อว่าการเจรจาเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งและประชาธิปไตยถือเป็นหนทางที่ดีที่สุด
ขณะนี้รัฐบาลยังเปิดช่องให้มีการเจรจาอยู่ กปปส.ควรจะหันกลับมาพูดจากันในเวทีปฏิรูป ซึ่งเวทีปฏิรูปของ กปปส. และรัฐบาลไม่ได้ต่างกัน เพราะฉะนั้นน่าจะรวมกันได้ หรือถ้าไม่ไว้ใจรัฐบาลจะใช้เวทีกลางก็ได้เพื่อให้มีพื้นที่หารือกัน เพราะถ้าต่างคนต่างเปิดเวที อีกฝ่ายก็ไม่ยอมรับอยู่ดี ส่วนเรื่องของกระบวนการเลือกตั้งที่ยังค้างอยู่ควรจะเร่งดำเนินการให้เสร็จสิ้น จะได้มีสภาและมีรัฐบาลที่มีอำนาจเต็ม จะได้ทำให้การปฏิรูปเกิดขึ้นได้
เมื่อถามว่ากังวลเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยการเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ.จะเป็นโมฆะหรือไม่ นายสุรนันทน์กล่าวว่า ไม่ว่าศาลจะมีคำสั่งออกมาในทิศทางใดขอให้อยู่ในวิถีทางประชาธิปไตย และนักการเมืองทุกคนในรัฐบาลพร้อมที่จะปฏิบัติตาม เรารับได้