ศรส.ระบุเนรเทศ “สาธิต” เพราะเป็นัยต่อความมั่นคงประเทศ ส่วน “โกตี๋” ประกาศแบ่งแยกประเทศ ที่ประชุม ศรส.ยังไม่ได้พิจารณา ขณะเดียวกัน ประณามการ์ด กปปส.ทำร้ายแก๊งแดง ส่วนคำวินิจฉัยการชุมนุม กปปส.ของศาล รธน.เป็นประโยชน์ ดำเนินการต่อแกนนำได้
วันนี้ (6 มี.ค.) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะกรรมการศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) แถลงผลการประชุม ศรส.ว่า กรณีนายสาธิต เซกัล แกนนำ กปปส.คนต่างด้าว สัญชาติอินเดียที่ได้รับอนุญาตให้มีถิ่นพำนักในประเทศไทย ซึ่งตามกฎหมาย นายสาธิตต้องงดเว้นไม่กระทำความผิดใดๆ ที่กระทบต่อความมั่นคง แต่กลับเข้าร่วมเป็นแกนนำหลักของ กปปส.ขึ้นเวทีอภิปราย ปลุกระดมให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายบ้านเมือง นำมวลชนไปปิดล้อมบุกรุกสถานที่ราชการหลายแห่ง แม้ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วก็ยังนำมวลชนไปปิดล้อมกรมการบินพลเรือน นายสาธิตจึงเป็นบุคคลที่มีพฤติการณ์น่าเชื่อว่าเป็นบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคม หรือจะก่อเหตุร้ายให้เกิดอันตรายต่อความสงบสุขหรือความปลอดภัยของประชาชน หรือความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร
เหตุนี้คณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมืองจึงมีมติเห็นควรเพิกถอนการอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรของนายสาธิต ซึ่งขณะนี้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผอ.ศรส.ได้ลงนามเห็นชอบตามมติคณะกรรมการดังกล่าวแล้ว โดยอาศัยอำนาจในการอนุญาต อนุมัติของ รมว.มหาดไทย ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ สำหรับการดำเนินการให้นายสาธิตออกไปนอกราชอาณาจักรเป็นเรื่องที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) จะได้ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
นายธาริตกล่าวถึงกรณีนายยืม นิลหล้า ประชาชนที่ไปนั่งพักผ่อนบริเวณสวนลุมพินี ที่ได้ถูกการ์ด กปปส.ควบคุมตัวและทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส แล้วมัดมือมัดเท้า และปิดตานำไปโยนในแม่น้ำบางปะกง แต่นายยืมสามารถเอาตัวรอดจนได้รับการช่วยเหลือนำตัวส่งโรงพยาบาลนั้น ศรส.รู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และขอประณามการกระทำของกลุ่มการ์ด กปปส.ที่โหดร้ายทารุณ และไร้มนุษยธรรมต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ เพียงเพราะเหตุพบว่านายยืมมีบัตรสมาชิก นปช.ติดตัวเท่านั้น ซึ่งเป็นการกระทำโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง สร้างความรู้สึกไม่ปลอดภัย ความหวาดระแวงและเกลียดชังระหว่างคนในสังคม ศรส.จึงกำชับให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินการตามกฎหมายโดยเร็วที่สุด และขอให้แกนนำ กปปส.ยุติการสั่งให้การ์ดใช้ความรุนแรงต่างๆ
อธิบดีดีเอสไอกล่าวว่า ศรส.รู้สึกคลายความกังวลต่อคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ ที่เดิมเคยวินิจฉัยว่าการชุมนุมของแกนนำ กปปส.เป็นไปโดยชอบ แต่คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญวานนี้ (6 มี.ค.) ศาลรัฐธรรมนูญเขียนแยกเป็น 2 ส่วน คือ การชุมนุมของประชาชนยังดำเนินการได้โดยชอบ แต่บรรดาแกนนำไปกระทำความผิดอาญา หรือความผิดใดๆ เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ที่สามารถไปดำเนินการได้ ซึ่งส่งผลดีต่อการทำงานของทุกหน่วย รวมถึง ศรส. เพราะสอดคล้องกับที่ศาลอาญาออกหมายจับ ศาลอาญาไม่เพิกถอนหมายจับ และจะเป็นประเด็นที่ช่วยเพิ่มน้ำหนักให้ ศรส.ในการยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลแพ่ง เพราะเดิมศาลแพ่งไปยึดว่าการชุมนุมเป็นเป็นไปโดยชอบ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ดำเนินการโดยชอบเฉพาะในส่วนประชาชน แต่แกนนำที่ทำผิดต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายนั้นๆ ซึ่งถือว่ามิติได้เปลี่ยนไป ดังนั้น คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจึงเป็นที่ชัดเจนว่าแกนนำ กปปส.ที่กระทำความผิดจะต้องถูกดำเนินคดีอย่างแน่นอน จะอ้างคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังในอดีตอีกไม่ได้แล้ว
ส่วนกรณีนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ แกนนำคนเสื้อแดง จ.ปทุมธานี นำป้ายแบ่งแยกดินแดนไปติดในพื้นที่เขตดอนเมือง ศรส.จะดำเนินการอย่างไรนั้น นายธาริตกล่าวว่า ที่ประชุม ศรส.ยังไม่ได้พูดคุยกันในประเด็นนี้ ซึ่งคิดว่าอยู่ในขั้นตอนการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนตัวเห็นว่าคงดำเนินการไม่ต่างจากพื้นที่ต่างจังหวัด ที่สอบสวนหาข้อเท็จจริง โดยเฉพาะหากมีการร้องทุกข์กล่าวโทษก็เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะแสวงหาข้อเท็จจริง
ทั้งนี้ ย้ำว่าเรื่องการกล่าวหาว่ามีขบวนการจะแยกการปกครองประเทศ ดีเอสไอพร้อมดำเนินคดี แต่เนื่องจากกรณีแบบนี้ไม่ใช่บัญชีท้ายของกฎหมายดีเอสไอ จึงต้องเข้าสู่กระบวนการของเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อน หรือถ้ามีการร้องมาที่ดีเอสไอก็จะมีการรวบรวมข้อเท็จจริงแล้วเสนอบอร์ดคณะกรรมการพิเศษ เพื่อพิจารณาว่าจะรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่