ผ่าประเด็นร้อน
นับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป หากจะเรียกว่าเป็นการ “นับถอยหลัง” ของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่นอกจากจะไม่มีที่ยืนแล้วยังต้องเสี่ยง “ระเห็จเข้าคุก” นั้นเป็นไปได้สูงยิ่ง และไม่นานเกินรอเสียด้วย เริ่มจากสถานะรองรับในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรีที่บรรดาผู้รู้ด้านกฎหมายต่างชี้เป็นเสียงเดียวกันว่า เธอ “พ้นไป” ตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคมเป็นต้นมาแล้ว หลังจากไม่สามารถเปิดสภาได้ภายใน 30 วันหลังการเลือกตั้ง
เมื่อเปิดสภาไม่ได้ เลือกนายกฯ คนใหม่ไม่ได้ การรักษาการนายกฯ ก็ต้องสิ้นสุดลงไปด้วย หลายฝ่ายเข้าใจกันแบบนี้
แต่ก็เชื่อเถอะเธอก็ “ท่องตามโพย” อยู่เช่นเดิมว่า “ต้องอยู่เพื่อรักษาประชาธิปไตยลาออกไม่ได้” ซึ่งในที่สุดแล้วก็คงต้อง “ตายคาประชาธิปไตย” ตามแบบฉบับของพวกเธอแน่นอน ดังนั้นนับจากนี้ไปก็คือสิ่งที่เรียกว่า “สุญญากาศ” กำลังเกิดขึ้นแล้ว
นอกจากนี้ องค์ประกอบอื่นก็เริ่มเป็นใจและเริ่มทำงานบีบเข้ามาพร้อมๆกัน เริ่มจากกลไกสภา นั่นคือวุฒิสภาที่สมาชิกวุฒิสภาชุดที่มาจากการเลือกตั้งต้องหมดวาระลงตั้งแต่วันที่ 1มีนาคมเป็นต้นมาแล้ว ซึ่งในนั้นก็ต้องมี นิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา สายขี้ข้า รวมอยู่ด้วย ทีนี้ก็เหลือแต่สมาชิกที่มาจากการสรรหา มีรองประธานวุฒิสภาที่ชื่อ สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ทำหน้าที่รักษาการประธานวุฒิสภา ซึ่งอาจมีโอกาสในการเสนอชื่อนายกฯ คนใหม่ในช่วงสุญญากาศดังกล่าว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 3 และมาตรา 7 ก็เป็นได้ แม้ว่าในประเด็นนี้ทาง นิคม ยืนยันว่าเขายังต้องรักษาการเก้าอี้ต่อไปจนกว่าจะมี สมาชิกวุฒิสภาเลือกตั้งชุดใหม่เข้ามาในเดือนเมษายนก็ตาม ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยทำให้องค์ประกอบอำนาจของ ยิ่งลักษณ์ ในวุฒิสภาลดฮวบลงไปก็แล้วกัน
ขณะเดียวกัน ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็เดินหน้าคดีทุจริตโครงการจำนำข้าวและที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ก็ได้เรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหาไปแล้วและแม้ว่าจะส่งทนายมารับทราบแทนก็ไม่เป็นปัญหาเพราะถือว่าเป็นตัวแทนรับมอบอำนาจมาแล้ว จากนั้นวันที่ 14 มีนาคมก็ต้องมาชี้แจงข้อกล่าวหา และที่น่าระทึกใจก็คือ “วิชา มหาคุณ” กรรมการ ป.ป.ช.ที่ดูแลคดีดังกล่าวย้ำชัดอีกครั้งภายในเดือนมีนาคมจะสามารถ “ชี้มูล” ได้แล้ว และถ้าชี้ออกมาว่า “ผิด” ก็จะไป “สองทาง” ทางแรกเข้าสู่การถอดถอนในวุฒิสภาที่เวลานี้บรรดา “พวกขี้ข้า” พ้นสภาพไปหมดแล้ว ซึ่งหากมีจำนวนครบถ้วนตามกฎหมายที่ระบุว่าต้องไม่น้อยกว่า 71 คน ขั้นตอนก็เดินหน้าได้ทันที
ส่วนทางที่สองก็ต้องไปศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งผลของการทุจริตก็คือ “คุก” และ “จบเร็ว” ไม่มีอุทธรณ์-ฎีกา ใช้เวลาไม่นานเกินรอ ซึ่งไม่ว่าในขั้นตอนไหนเชื่อว่าเอกสารหลักฐานมีอยู่มากมายครบถ้วนอยู่แล้ว ดังนั้นนับจากนี้ไปถือว่ามันช่าง “บีบรัด” หัวใจเธอนัก แม้ว่าจะทำ “บื้อใบ้” ไร้เดียงสาเพียงใดก็ตาม แต่ในใจย่อมหวั่นไหวอยู่แล้ว
ดังนั้นสิ่งที่เห็นในตอนนี้จะเห็นการเคลื่อนไหวของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และรัฐบาลรักษาการของเธอในทาง “กระชับอำนาจ” ออกมาให้เห็นมากที่สุด เพราะรู้ดีว่านี่คือช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญที่สุด ต้องดิ้นรนให้เห็นว่า “เธอยังมีอำนาจ” อยู่ ซึ่งเป้าหมายเร่งด่วนในตอนนี้ก็คือ “กองทัพ” เพราะรู้ดีว่านี่คือจุดชี้ขาดสำคัญ จึงเป็นที่มาของการประชุมสภากลาโหมอ้างว่าเพื่อหารือกันถึงเรื่อง “โยกย้ายนายทหารกลางปี” แต่คำถามก็คือจะโยกย้ายใครได้ อย่าว่าแต่นายทหารเลย แค่ตำแหน่ง “นักการภารโรงสำนักปลัดกลาโหม” ยังทำไม่ได้เลย แต่ความหมายก็เพียงแค่ต้องการหยั่งท่าทีของผู้นำกองทัพว่ายัง “เต็มร้อย” กับเธอหรือไม่ หรืออย่างน้อยก็เหมือนกับปรามกันเอาไว้ก่อนจากเรื่องที่ “เหิมเกริม” คิดแบ่งแยกประเทศ จนถูกแจ้งข้อหากบฎ ทำเอาตกอกตกใจไปทั่วนั่นแหละ
อย่างไรก็ดี เชื่อว่านาทีนี้เชื่อว่าบรรดาผู้นำกองทัพน่าจะ “ทันเกม” ว่าสมควรจะวางบทบาทอย่างไร ในสภาวะ “สุญญากาศ” แบบนี้ ในภาวะที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และระบอบทักษิณ กำลังหมดสภาพแทบจะกลายเป็นศูนย์แล้ว เหมือนอย่างที่พวกตำรวจเริ่มแสดงท่าทีใหม่ออกมา นั่นคือเริ่มทำหน้าที่ “พิทักษ์สันติราษฎร์” มากขึ้นกว่าเดิม ดังได้เห็นแอ็กชันใหม่ๆ ของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ที่เริ่มออกคำสั่งดำเนินคดีกับพวก “กบฏล้านนา” มากขึ้น รวมทั้งสั่งให้ติดตามหาตัวคนร้ายที่ใช้อาวุธสงครามถล่มสถานที่ชุมนุม ถล่มศาล และกรณีคุกคามอื่นให้ได้โดยเร็ว ส่วนจะได้ผลจริงจังตามที่พูดหรือไม่ก็ตาม แต่อย่างน้อยมันก็แสดงให้เห็นถึงท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากก็แล้วกัน
ดังนั้น ไม่ว่าพิจารณาจากองค์ประกอบและความเคลื่อนไหวทั้งหมดดังกล่าวล้วนไม่ส่งเสริมให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ใช้อำนาจได้เลย เพราะแม้กระทั่ง “รักษาการ” นายกรัฐมนตรีก็ยิ่งตีบตันลงทุกที หลังจากที่ผ่านมามีอำนาจแต่บริหารไม่ได้ มาคราวนี้ “ไม่มีทั้งอำนาจและไม่มีที่บริหาร” ทุกอย่างกำลังเข้ามุมอับ นับถอยหลังเดินเข้าคุกทุกทีแล้ว
หรือว่านอกจากเธอจะเป็นนายกฯ หญิงคนแรกแล้ว ต่อไปอาจจะเป็น “นายกฯ หญิงคนแรกที่เดินเข้าคุก” ก็เป็นได้ อีกไม่นานเกินรอ!!