รายงานการเมือง
ออกมาปฏิเสธกันพัลวันหลังทำปืนลั่น จุดไฟเผาตัวเองด้วยการประกาศ “แบ่งแยกประเทศไทย” สถาปนา “สปป.ล้านนา” ที่มาแก้เกี้ยวกันอยู่ในขณะนี้ว่าไม่ใช่ “สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนล้านนา” แต่เป็นสมัชชาประชาชนปกป้องประชาธิปไตยล้านนา โดยมีนักวิชาการหางแดงที่ไม่เหลงเหลือความน่าเชื่อถือในสังคมไทยอีกแล้วออกมาช่วยแก้ต่างแทนให้
ไม่ว่าจะแก้ตัวอย่างไรก็ยิ่งมัดตัวเองให้ดิ้นไม่หลุด ว่าระดับยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยนั้นวางแผนนี้ไว้เป็นไพ่ใบสุดท้ายมานานแล้วโดยไม่ทันได้คาดคิดว่าจะเป็นไพ่ใบสุดท้ายที่จั่วหวังเจอตัวโจ๊ก กลายเป็นเพิ่มแต้มบอดปิดประตูชนะเพราะแพ้ภัยจากกรรมของตัวเองที่บังอาจทะเยอทะยานเกินวาสนา
อยากเป็น “เจ้ามูลเมือง”
หากย้อนคำสัมภาษณ์ นักโทษหนีคดีทักษิณผ่านบทสัมภาษณ์พิเศษในหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2556 แล้วจะได้คำตอบว่า “ทักษิณ คือตัวพ่อที่จ้องจะแบ่งแยกประเทศ สร้างความแตกแยกในแผ่นดินไทยเพื่อสร้างที่ยืนให้กับตัวเอง” ในวันนั้นนักโทษหนีคดีทักษิณมีความมั่นใจในอำนาจรัฐและการควบคุมสภาขี้ข้าอย่างยิ่งยวดจึงประกาศให้มีการ SET ZERO ด้วยการออกกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย พร้อมขู่สำทับว่าไม่ยอมชาติไม่มีวันสงบ
“ทุกอย่างเลิก เริ่มต้นกันให้ถูกต้อง” Set Zero แล้วเดินหน้า หรือว่ายังจะทะเลาะกันอย่างนี้ ไม่ได้กูไม่ไปก็ต่อยกันอย่างนี้ กูก็ไม่ไป ถามว่าจะเอายังไง ผมไม่มีปัญหา ผมจะอยู่ข้างนอกอีก 10 ปี ผมไม่ได้เดือดร้อนอะไรนี่ มันชินแล้ว”
ความหมายก็คือ ถ้าไม่ยอมให้กูได้ตามที่ต้องการ ประเทศนี้ก็อย่าหวังจะอยู่อย่างสงบเลย เพราะกูไม่เดือดร้อนอะไรอยู่แล้ว
รูปธรรมที่สะท้อนถึงแนวคิดแบ่งแยกประเทศเพื่อสถาปนาระบอบใหม่ที่ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คือ การพูดถึงการก่อตั้ง “รัฐไทยใหม่” และมีการดำเนินการอย่างเป็นระบบผ่านขบวนการ โรงเรียน นปช. และ หมู่บ้านเสื้อแดง
ในขณะเดียวกัน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็สืบสันดานทรราชจากนักโทษหนีคดีทักษิณด้วยการใช้ยุทธศาสตร์การบริหารแบบแบ่งแยกเพื่อปกครองรวมศูนย์ด้วยความเกลียดชัง จนนำไปสู่การเติมเชื้อไฟแห่งความรุนแรงที่คนไทยกลุ่มหนึ่งสามารถฆ่าคนไทยด้วยกันได้ทั้งที่ไม่รู้จักและไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน
พื้นที่ที่ถูกใช้เป็นต้นแบบนำร่องในการแบ่งแยกประเทศ คือ จังหวัดพะเยา ซึ่งมีการจัดกิจกรรมยกระดับจากหมู่บ้านเสื้อแดงเป็นอำเภอเสื้อแดง จนถึงขั้นจะไปไกลถึงให้พะเยาเป็นจังหวัดเสื้อแดง หลังจากมีการโหมโรงด้วยการประกาศให้อำเภอจุน จังหวัดพะเยา เป็นอำเภอเสื้อแดงจัดตั้งริ้วขบวนประดับด้วยธงแดง ตามด้วย อปพร.ชุดรักษาความสงบหมู่บ้าน ฯลฯ
ที่สำคัญคือ คนที่ไปร่วมในพิธีเปิดอำเภอเสื้อแดงแห่งแรกของไทย คือน้องเขยนักโทษหนีคดีทักษิณ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ นอกทำเนียบ ที่ไม่เคยมีโอกาสได้เหยียบตึกไทยคู่ฟ้า แม้จะอ้างว่าไม่ได้เป็นการแบ่งแยก แต่ทำในเชิงสัญลักษณ์ว่าจะต่อต้านเผด็จการรักษาประชาธิปไตย ก็ปกปิดความจริงที่ว่า “ทักษิณต้องการแบ่งแยกประเทศ” ไม่ได้
กระทั่งล่าสุดที่เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตจน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ออกโรงสั่งแม่ทัพภาคที่ 3 พล.ท.ปรีชา จันทร์โอชา เข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อพวกที่คิดแบ่งแยกประเทศหลังจากที่มีการสวนสนามในพื้นที่ดังกล่าวเมื่อวันที่ 19 ก.พ. 57 และเริ่มมีปั่นกระแสเรื่องการแบ่งแยกประเทศหนาหูมากขึ้นเรื่อย ๆโดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2557 มีป้ายแบ่งแยกประเทศปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกกลางเมืองจังหวัดพะเยามีข้อความว่า “ประเทศนี้ไม่มีความยุติธรรม กูขอแยกประเทศ”
สอดรับกับคำสัมภาษณ์ของ ยิ่งลักษณ์ ที่ไม่ปฏิเสธชุดความคิดแบ่งแยกประเทศว่าไม่มีจริงเพียงแต่แถไปว่ารัฐบาลไม่สนับสนุน และยังเปิดรูปูให้เห็นด้านในด้วยว่า “แดงแจ๋” พร้อมปฏิบัติตามชุดความคิด “ไม่ยุติธรรมจึงต้องแบ่งแยก” แถมยังสำทับไปที่กองทัพว่าห้ามเลือกปฏิบัติตรวจสอบแต่แก๊งแดงเท่านั้นด้วยคำพูดที่ว่า
“ทุกวันนี้เราก็ไม่ได้สนับสนุนอยู่แล้วในเมื่อกองทัพจะตรวจสอบเราก็ยินดี ถือว่าเป็นสิ่งที่กองทัพทำหน้าที่ของกองทัพแต่ขอให้มีการตรวจสอบทุกกลุ่ม ทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมกันถ้าตรวจสอบเน้นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งก็จะกลับมาเกิดในเรื่องของความน้อยเนื้อต่ำใจก็จะมีปัญหาเกิดขึ้น แต่ถ้าเราทำทุกอย่างบนหลักความยุติธรรมอย่างเท่าเทียมกันเชื่อว่าปัญหานี้จะลดน้อยลงไป”
คำสัมภาษณ์ดังกล่าวสะท้อนว่า ยิ่งลักษณ์ไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับการแบ่งแยกประเทศเกิดขึ้นแถมยังแก้ตัวแทนเสร็จสรรพว่าเกิดจากความน้อยเนื้อต่ำใจ และ ความไม่ยุติธรรมซึ่งเป็นคาถาเดียวกับที่แกนนำแดงท่องหนีตายข้อหากบฏกันอยู่ในขณะนี้
การที่ พล.อ.ประยุทธ์ ใช้อำนาจในฐานะรอง ผอ.กอ.รมน.ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาแจ้งความเอาผิดกับคนชั่วที่คิดทำหินแตกแบ่งแยกแผ่นดินโดยที่ตุ๊กตาเสียกบาลอย่างยิ่งลักษณ์ไม่มีโอกาสได้รับทราบมาก่อน แม้ว่าจะนั่งทับตำแหน่ง “ผอ.กอ.รมน.” อยู่ก็ตามแถมเธอยังหลุดปากว่า “เราไม่ขัดในการตรวจสอบ” อันแสดงให้เห็นถึงความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างรัฐบาลกับการขับเคลื่อนของคนเสื้อแดง
บทบาทของ พล.อ.ประยุทธ์ แม้ว่าจะมาช้าแต่ก็ยังดีกว่าไม่มาเลย แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ ต้องมาแบบจริงจัง ไม่ใช่ทำแค่เป็นสัญลักษณ์แบบลูบหน้าปะจมูกเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในกรณีที่ ผบ.ทบ.ส่งผู้ใต้บังคับบัญชาไปแจ้งความดำเนินคดีต่อ จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำเสื้อแดงกรณี “กระสุนพระราชทาน” ว่ากระทำกฎหมายอาญา มาตรา 112
แต่เมื่อดีเอสไอเป่าเรื่องนี้ทิ้งทำให้จตุพรกลายเป็นคนบริสุทธิ์ผุดผ่องไม่ต้องโทษในคดีหมิ่นเบื้องสูงโดยที่ทหารเงียบเป็นเป่าสาก ไม่มีการทวงถามหรือตรวจสอบว่าการใช้ดุลพินิจของดีเอสไอเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ในครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จึงต้องทำตนให้สมเป็น “บิ๊กตู่” ปฏิบัติหน้าที่รักษาความมั่นคงของชาติอย่างเคร่งครัดไม่ใช่ทำตัวเป็น “ตุ๊ดตู่” โผล่ออกมาเป็นครั้งเป็นคราวก่อนมุดลงรูกบดานเงียบ
การรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเอาผิดคนคิดแบ่งแยกประเทศจึงต้องย้อนไปถึงการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงในปี 52-53 ที่มีการประกาศสถาปนารัฐไทยใหม่ด้วยเพื่อเอาผิดให้ถึงระดับหัวขบวนไม่ใช่จับแค่ปลาซิวปลาสร้อยปากเปราะอย่าง เพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล แกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 เท่านั้น
โดยเฉพาะที่จังหวัดพะเยากองทัพต้องพิสูจน์ความเอาจริงเอาจังในการรักษาราชอาณาจักรไทยให้เป็นหนึ่งเดียวไม่ให้ใครมาแบ่งแยกด้วยการทำหนังสือถึง ผบ.ตร.ให้มีการพิจารณาย้าย พล.ต.ต.ภาณุ บุรณศิริ ผู้บังคับการตำรวจจังหวัดพะเยา น้องชายนายวิทยา บุรณศิริ อดีต รมว.สาธารณสุขในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ออกจากพื้นที่ทันที
เพราะมีส่วนเกียวข้องกับขบวนการแบ่งแยกประเทศในเชิงสัญลักษณ์ด้วยการสนับสนุนให้ตำรวจไปร่วมงานสวนสนามชูธงแดงวันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา
หากตำรวจเป็นพวกเดียวกับ “โจรแบ่งแยกประเทศ” พล.อ.ประยุทธ์ ย่อมรู้ดีว่าจะลากคอเอากบฏมาลงโทษได้หรือไม่
ออกมาปฏิเสธกันพัลวันหลังทำปืนลั่น จุดไฟเผาตัวเองด้วยการประกาศ “แบ่งแยกประเทศไทย” สถาปนา “สปป.ล้านนา” ที่มาแก้เกี้ยวกันอยู่ในขณะนี้ว่าไม่ใช่ “สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนล้านนา” แต่เป็นสมัชชาประชาชนปกป้องประชาธิปไตยล้านนา โดยมีนักวิชาการหางแดงที่ไม่เหลงเหลือความน่าเชื่อถือในสังคมไทยอีกแล้วออกมาช่วยแก้ต่างแทนให้
ไม่ว่าจะแก้ตัวอย่างไรก็ยิ่งมัดตัวเองให้ดิ้นไม่หลุด ว่าระดับยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยนั้นวางแผนนี้ไว้เป็นไพ่ใบสุดท้ายมานานแล้วโดยไม่ทันได้คาดคิดว่าจะเป็นไพ่ใบสุดท้ายที่จั่วหวังเจอตัวโจ๊ก กลายเป็นเพิ่มแต้มบอดปิดประตูชนะเพราะแพ้ภัยจากกรรมของตัวเองที่บังอาจทะเยอทะยานเกินวาสนา
อยากเป็น “เจ้ามูลเมือง”
หากย้อนคำสัมภาษณ์ นักโทษหนีคดีทักษิณผ่านบทสัมภาษณ์พิเศษในหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2556 แล้วจะได้คำตอบว่า “ทักษิณ คือตัวพ่อที่จ้องจะแบ่งแยกประเทศ สร้างความแตกแยกในแผ่นดินไทยเพื่อสร้างที่ยืนให้กับตัวเอง” ในวันนั้นนักโทษหนีคดีทักษิณมีความมั่นใจในอำนาจรัฐและการควบคุมสภาขี้ข้าอย่างยิ่งยวดจึงประกาศให้มีการ SET ZERO ด้วยการออกกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย พร้อมขู่สำทับว่าไม่ยอมชาติไม่มีวันสงบ
“ทุกอย่างเลิก เริ่มต้นกันให้ถูกต้อง” Set Zero แล้วเดินหน้า หรือว่ายังจะทะเลาะกันอย่างนี้ ไม่ได้กูไม่ไปก็ต่อยกันอย่างนี้ กูก็ไม่ไป ถามว่าจะเอายังไง ผมไม่มีปัญหา ผมจะอยู่ข้างนอกอีก 10 ปี ผมไม่ได้เดือดร้อนอะไรนี่ มันชินแล้ว”
ความหมายก็คือ ถ้าไม่ยอมให้กูได้ตามที่ต้องการ ประเทศนี้ก็อย่าหวังจะอยู่อย่างสงบเลย เพราะกูไม่เดือดร้อนอะไรอยู่แล้ว
รูปธรรมที่สะท้อนถึงแนวคิดแบ่งแยกประเทศเพื่อสถาปนาระบอบใหม่ที่ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คือ การพูดถึงการก่อตั้ง “รัฐไทยใหม่” และมีการดำเนินการอย่างเป็นระบบผ่านขบวนการ โรงเรียน นปช. และ หมู่บ้านเสื้อแดง
ในขณะเดียวกัน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็สืบสันดานทรราชจากนักโทษหนีคดีทักษิณด้วยการใช้ยุทธศาสตร์การบริหารแบบแบ่งแยกเพื่อปกครองรวมศูนย์ด้วยความเกลียดชัง จนนำไปสู่การเติมเชื้อไฟแห่งความรุนแรงที่คนไทยกลุ่มหนึ่งสามารถฆ่าคนไทยด้วยกันได้ทั้งที่ไม่รู้จักและไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน
พื้นที่ที่ถูกใช้เป็นต้นแบบนำร่องในการแบ่งแยกประเทศ คือ จังหวัดพะเยา ซึ่งมีการจัดกิจกรรมยกระดับจากหมู่บ้านเสื้อแดงเป็นอำเภอเสื้อแดง จนถึงขั้นจะไปไกลถึงให้พะเยาเป็นจังหวัดเสื้อแดง หลังจากมีการโหมโรงด้วยการประกาศให้อำเภอจุน จังหวัดพะเยา เป็นอำเภอเสื้อแดงจัดตั้งริ้วขบวนประดับด้วยธงแดง ตามด้วย อปพร.ชุดรักษาความสงบหมู่บ้าน ฯลฯ
ที่สำคัญคือ คนที่ไปร่วมในพิธีเปิดอำเภอเสื้อแดงแห่งแรกของไทย คือน้องเขยนักโทษหนีคดีทักษิณ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ นอกทำเนียบ ที่ไม่เคยมีโอกาสได้เหยียบตึกไทยคู่ฟ้า แม้จะอ้างว่าไม่ได้เป็นการแบ่งแยก แต่ทำในเชิงสัญลักษณ์ว่าจะต่อต้านเผด็จการรักษาประชาธิปไตย ก็ปกปิดความจริงที่ว่า “ทักษิณต้องการแบ่งแยกประเทศ” ไม่ได้
กระทั่งล่าสุดที่เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตจน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ออกโรงสั่งแม่ทัพภาคที่ 3 พล.ท.ปรีชา จันทร์โอชา เข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อพวกที่คิดแบ่งแยกประเทศหลังจากที่มีการสวนสนามในพื้นที่ดังกล่าวเมื่อวันที่ 19 ก.พ. 57 และเริ่มมีปั่นกระแสเรื่องการแบ่งแยกประเทศหนาหูมากขึ้นเรื่อย ๆโดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2557 มีป้ายแบ่งแยกประเทศปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกกลางเมืองจังหวัดพะเยามีข้อความว่า “ประเทศนี้ไม่มีความยุติธรรม กูขอแยกประเทศ”
สอดรับกับคำสัมภาษณ์ของ ยิ่งลักษณ์ ที่ไม่ปฏิเสธชุดความคิดแบ่งแยกประเทศว่าไม่มีจริงเพียงแต่แถไปว่ารัฐบาลไม่สนับสนุน และยังเปิดรูปูให้เห็นด้านในด้วยว่า “แดงแจ๋” พร้อมปฏิบัติตามชุดความคิด “ไม่ยุติธรรมจึงต้องแบ่งแยก” แถมยังสำทับไปที่กองทัพว่าห้ามเลือกปฏิบัติตรวจสอบแต่แก๊งแดงเท่านั้นด้วยคำพูดที่ว่า
“ทุกวันนี้เราก็ไม่ได้สนับสนุนอยู่แล้วในเมื่อกองทัพจะตรวจสอบเราก็ยินดี ถือว่าเป็นสิ่งที่กองทัพทำหน้าที่ของกองทัพแต่ขอให้มีการตรวจสอบทุกกลุ่ม ทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมกันถ้าตรวจสอบเน้นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งก็จะกลับมาเกิดในเรื่องของความน้อยเนื้อต่ำใจก็จะมีปัญหาเกิดขึ้น แต่ถ้าเราทำทุกอย่างบนหลักความยุติธรรมอย่างเท่าเทียมกันเชื่อว่าปัญหานี้จะลดน้อยลงไป”
คำสัมภาษณ์ดังกล่าวสะท้อนว่า ยิ่งลักษณ์ไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับการแบ่งแยกประเทศเกิดขึ้นแถมยังแก้ตัวแทนเสร็จสรรพว่าเกิดจากความน้อยเนื้อต่ำใจ และ ความไม่ยุติธรรมซึ่งเป็นคาถาเดียวกับที่แกนนำแดงท่องหนีตายข้อหากบฏกันอยู่ในขณะนี้
การที่ พล.อ.ประยุทธ์ ใช้อำนาจในฐานะรอง ผอ.กอ.รมน.ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาแจ้งความเอาผิดกับคนชั่วที่คิดทำหินแตกแบ่งแยกแผ่นดินโดยที่ตุ๊กตาเสียกบาลอย่างยิ่งลักษณ์ไม่มีโอกาสได้รับทราบมาก่อน แม้ว่าจะนั่งทับตำแหน่ง “ผอ.กอ.รมน.” อยู่ก็ตามแถมเธอยังหลุดปากว่า “เราไม่ขัดในการตรวจสอบ” อันแสดงให้เห็นถึงความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างรัฐบาลกับการขับเคลื่อนของคนเสื้อแดง
บทบาทของ พล.อ.ประยุทธ์ แม้ว่าจะมาช้าแต่ก็ยังดีกว่าไม่มาเลย แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ ต้องมาแบบจริงจัง ไม่ใช่ทำแค่เป็นสัญลักษณ์แบบลูบหน้าปะจมูกเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในกรณีที่ ผบ.ทบ.ส่งผู้ใต้บังคับบัญชาไปแจ้งความดำเนินคดีต่อ จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำเสื้อแดงกรณี “กระสุนพระราชทาน” ว่ากระทำกฎหมายอาญา มาตรา 112
แต่เมื่อดีเอสไอเป่าเรื่องนี้ทิ้งทำให้จตุพรกลายเป็นคนบริสุทธิ์ผุดผ่องไม่ต้องโทษในคดีหมิ่นเบื้องสูงโดยที่ทหารเงียบเป็นเป่าสาก ไม่มีการทวงถามหรือตรวจสอบว่าการใช้ดุลพินิจของดีเอสไอเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ในครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จึงต้องทำตนให้สมเป็น “บิ๊กตู่” ปฏิบัติหน้าที่รักษาความมั่นคงของชาติอย่างเคร่งครัดไม่ใช่ทำตัวเป็น “ตุ๊ดตู่” โผล่ออกมาเป็นครั้งเป็นคราวก่อนมุดลงรูกบดานเงียบ
การรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเอาผิดคนคิดแบ่งแยกประเทศจึงต้องย้อนไปถึงการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงในปี 52-53 ที่มีการประกาศสถาปนารัฐไทยใหม่ด้วยเพื่อเอาผิดให้ถึงระดับหัวขบวนไม่ใช่จับแค่ปลาซิวปลาสร้อยปากเปราะอย่าง เพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล แกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 เท่านั้น
โดยเฉพาะที่จังหวัดพะเยากองทัพต้องพิสูจน์ความเอาจริงเอาจังในการรักษาราชอาณาจักรไทยให้เป็นหนึ่งเดียวไม่ให้ใครมาแบ่งแยกด้วยการทำหนังสือถึง ผบ.ตร.ให้มีการพิจารณาย้าย พล.ต.ต.ภาณุ บุรณศิริ ผู้บังคับการตำรวจจังหวัดพะเยา น้องชายนายวิทยา บุรณศิริ อดีต รมว.สาธารณสุขในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ออกจากพื้นที่ทันที
เพราะมีส่วนเกียวข้องกับขบวนการแบ่งแยกประเทศในเชิงสัญลักษณ์ด้วยการสนับสนุนให้ตำรวจไปร่วมงานสวนสนามชูธงแดงวันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา
หากตำรวจเป็นพวกเดียวกับ “โจรแบ่งแยกประเทศ” พล.อ.ประยุทธ์ ย่อมรู้ดีว่าจะลากคอเอากบฏมาลงโทษได้หรือไม่