“กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์” แถลงการณ์ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” สิ้นสภาพรักษาการ 3 เหตุผล ทั้งการไม่สามารถเปิดประชุมสภาได้ตาม มาตรา 127 ล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดิน การช่วยชาวนาและดูแลความสงบเรียบร้อยให้กับประชาชน และกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (4 มี.ค.) กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ แถลงการณ์เรื่องการสิ้นสุดลงของรัฐบาลรักษาการ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่าความแตกแยกขัดแย้งทางการเมืองในขณะนี้กำลังขยับเข้าสู่ “ภาวะสงคราม'” ซึ่งเป็นภาวะที่ฝ่ายหนึ่งใช้กองกำลังติดอาวุธซุ่มโจมตีและทำลายอีกฝ่ายหนึ่งที่ใช้การชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ ถือหลักสันติ อหิงสา เป็นแนวทางในการต่อสู้ ภาวการณ์เช่นนี้ย่อมนำไปสู่ความสูญเสียต่อชีวิตและร่างกายของผู้บริสุทธ์ ไม่เว้นแม้กระทั่งเด็กได้ตกเป็นเหยื่อทางการเมืองของผู้กระหายอำนาจแม้จะแลกด้วยชีวิตเลือดเนื้อของผู้บริสุทธิ์ และยังไม่อาจคาดหมายได้ว่าจะมีผู้บริสุทธิ์อีกกี่รายที่จะต้องพลีชีวิตเพื่อให้รักษาการนายกรัฐมนตรีที่ไม่อาจกล่าวอ้างหลักประชาธิปไตยได้ ได้เสวยอำนาจอีกต่อไป
ดังนั้น กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์เห็นว่า รัฐบาลภายใต้การนำของรักษาการนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้สิ้นสุดลงปราศจากฐานที่จะอ้างความชอบธรรมใดๆ ตามรัฐธรรมนูญได้อีกต่อไป สืบเนื่องมาจาก 1. ความล้มเหลวของการเลือกตั้ง การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 ก.พ. ที่ไม่อาจนำไปสู่การเปิดสภาผู้แทนราษฎรได้ตามมาตรา 127 ของรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ยังมีปัญหาว่าการเลือกตั้งครั้งนี้น่าจะขัดกับมาตรา 108 ของรัฐธรรมนูญ และปัญหาอื่นๆ อีกหลายประการ กล่าวโดยสรุป ฉันทานุมัติของประชาชนจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ที่ส่งผลให้จัดตั้งรัฐบาลนั้นย่อมสิ้นสุดลงเมื่อมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร และเพียงทำหน้าที่รักษาการเพื่อรอสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่ในการเลือกผู้บริหารชุดใหม่ต่อไปเมื่อเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าการเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ. ไม่อาจบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ การดำรงอยู่ของรัฐบาลจึงมิอาจดำรงอยู่ได้อีกต่อไป
2. ความล้มเหลวของรัฐบาล รัฐบาลรักษาการภายใต้การนำของนางสาวยิ่งลักษณ์ อยู่ในภาวะล้มเหลวในการบริหารโดยสิ้นเชิง กล่าวคือ ก) ความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดิน ข) ความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาให้กับชาวนาอันสืบเนื่องจากโครงการรับจำนำข้าวซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของพรรคเพื่อไทยจนนำไปสู่การฆ่าตัวตายและการเสียชีวิตจำนวนมากของชาวนาผู้ประสบเคราะห์กรรมจากนโยบายดังกล่าว ความล้มเหลวดังกล่าวสืบเนื่องมาจากการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวที่รัฐบาลไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้
ค) ความล้มเหลวในการดูแลความสงบเรียบร้อยให้กับประชาชน โดยเฉพาะจากกองกำลังที่ลอบซุ่มโจมตีด้วยอาวุธสงครามต่อผู้บริสุทธิ์ ความเสียหายต่อผู้บริสุทธ์คนแล้วคนเล่านอกจากอำนาจฝ่ายรัฐบาลไม่สามารถปกป้องคุ้มครองได้แล้ว การกระทำทั้งหลายเหล่านี้น่าเชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับฝ่ายรัฐบาลโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
3. ส่วนประกอบต่างๆ ของรัฐบาลกระทำการปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ เมื่อรัฐบาลไม่อาจอาศัยความชอบธรรมจากการเลือกตั้ง 2 ก.พ. ประกอบกับรัฐบาลไม่สามารถใช้อำนาจของฝ่ายบริหารในการสั่งการใดๆ ได้ ตลอดทั้งศาลได้มีคำสั่งห้ามมิให้ ศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) ใช้อำนาจตามที่ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้อีกต่อไป “องคาพยพของรัฐบาล” จึงหันไปใช้กองกำลังติดอาวุธที่เคยใช้ได้ผลเมื่อ พ.ค. 53 เพื่อข่มขู่คุกคาม ผู้ชุมนุมโดยสงบปราศอาวุธถือหลักสันติอหิงสา จนนำมาสู่การบาดเจ็บล้มตายของผู้บริสุทธ์ คนแล้วคนเล่า ไม่เว้นแม้แต่เด็กผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เดียงสาจนล่าสุดมีการเดินพลสวนสนามของ กองกำลังอาสาสมัคร และต่อมามีการรับสมัครอาสาสมัครโดยกล่าวอ้างว่าเพื่อปกป้องประชาธิปไตย ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวมีความเชื่อมโยงไปสู่ “การแบ่งแยกประเทศ” เป็น “ประเทศอีสานล้านนา” นั้น การกระทำดังกล่าวย่อมเป็นพฤติกรรมที่ประจักษ์ชัดว่าเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญจนไม่อาจยอมรับได้อีกต่อไป
ทั้งนี้ จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น รัฐบาลรักษาการจึงสิ้นสภาพจากกระทำของตนเองและองคาพยพของรัฐบาลโดยไม่อาจกล่าวอ้างรัฐธรรมนูญและหลักประชาธิปไตยได้อีกต่อไป เพราะผู้จะกล่าวอ้าง “รัฐธรรมนูญ” และ “หลักประชาธิปไตย” ได้นั้นจะต้องไม่ใช่ “ผู้ทำลาย” และด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้เอง สถาบันทางการเมืองเท่าที่เหลืออยู่และประชาชนชอบที่จะสถาปนา “ผู้ปกป้องรัฐและรัฐธรรมนูญ” ขึ้นใหม่เพื่อธำรงความเป็น “ราชอาณาจักร” ที่มิอาจแบ่งแยกได้ และพิทักษ์ปกป้องรัฐธรรมนูญและการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขสืบไปตราบชั่วลูกชั่วหลานของสยามประเทศ