จบลงอย่าง “แฮปปี้เอนดิ้ง” สำหรับการผจญภัยน่าตื่นเต้นของหนุ่มชาวประมงเอลซัลวาดอร์ ซึ่งติดอยู่บนเรือพายลำเล็กกลางมหาสมุทรแปซิฟิกอยู่นานถึง 13 เดือน ล่าสุดหนุ่ม “แคสต์อะเวย์” ได้หวนคืนบ้านเกิดที่เอลซัลวาดอร์ และกำลังจะได้พบหน้าพ่อแม่พี่น้องและบุตรสาวที่พลัดพรากจากกันมานานหลายปี
เมื่อวันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ รัฐบาลสาธารณรัฐหมู่เกาะมาร์แชลล์ ได้จัดพิธีเลี้ยงส่ง โฆเซ ซัลวาดอร์ อัลวาเรนกา หนุ่มชาวประมงวัย 37 ปี ก่อนที่เขาจะขึ้นเครื่องบินออกจากหมู่เกาะกลางแปซิฟิกที่ซึ่งเรือของเขาถูกคลื่นซัดมาเกยหาดเมื่อราวครึ่งเดือนก่อน
การเหินฟ้าข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกครั้งนี้เรียกได้ว่าแสนสะดวกสบาย เมื่อเปรียบเทียบกับเวลา 13 เดือนที่เขาต้องลอยเคว้งคว้างอยู่กลางทะเลเปิดเป็นระยะทางไกลถึง 12,500 กิโลเมตร
หนุ่มชาวประมงรายนี้เล่าว่า เขาและเพื่อนรุ่นน้องล่องเรือไฟเบอร์กลาสความยาว 7 เมตรออกจากชายฝั่งเม็กซิโกเมื่อปลายปี 2012 และหลงทางอยู่กลางมหาสมุทรนานกว่า 1 ปี ระหว่างนั้นเขามีชีวิตรอดโดยการกินปลาดิบๆ และเนื้อนก ส่วนเครื่องดื่มถ้าไม่มีน้ำฝนก็ต้องกิน “น้ำปัสสาวะ” ของตัวเองและ “เลือดเต่า” ในขณะที่เพื่อนร่วมทางซึ่งมีนามว่า เอเซเควียล คอร์โดบา วัย 24 ปี ไม่สามารถทำใจกินอาหารเช่นนั้นได้ จึงต้องอดตายกลางทะเลหลังจากออกเดินทางได้เพียง 4 เดือน
หลังอดทนใช้ชีวิตอยู่โดดเดี่ยวกลางทะเลนานนับปี โชคชะตาเริ่มเข้าข้าง อัลวาเรนกา เมื่อเรือของเขาถูกคลื่นซัดมาเกยหาดที่เกาะปะการังรูปวงแหวน “เอบอน” บนหมู่เกาะมาร์แชลล์เมื่อปลายเดือนมกราคม โดยที่ตัวเขาอยู่ในสภาพเหลือแต่กางเกงในขาดรุ่งริ่ง
จากการตรวจพิสูจน์หลักฐานพบว่าสิ่งที่ชายผู้นี้เล่าน่าจะเป็นความจริง อีกทั้งผู้เชี่ยวชาญก็ยืนยันว่า การเอาตัวรอดในสภาวะแร้นแค้นสุดขีดเช่นนั้น “มีความเป็นไปได้” ซึ่งก็หมายความว่า อัลวาเรนกา อาจจะเป็นมนุษย์คนแรกที่มีชีวิตรอดอยู่กลางทะเลโดยปราศจากเสบียงได้นานที่สุดเท่าที่โลกเคยบันทึกไว้
เพื่อนชาวประมงที่อาศัยในหมู่บ้านโชโกอุยตัลบริเวณทะเลปิดในรัฐเชียปัส ทางภาคใต้ของเม็กซิโก เล่าว่า อัลบาเรนกา เป็นคนอัธยาศัยดี แต่มีนิสัยชอบกินอาหารประหลาดๆ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ทำให้เรื่องเล่าของหนุ่มเอลซัลวาดอร์คนนี้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือขึ้นมา
“เขาไม่ใช่คนจู้จี้เลือกกิน เขากินได้ทุกอย่าง” เบยาดีโน โรดรีกูเอซ นายจ้างของ อัลวาเรนกา บอกกับสำนักข่าวเอเอฟพี พร้อมเผยด้วยว่า เขาสามารถกินปลาดิบๆ, เลือดเต่า หรือแม้กระทั่งอาหารสุนัขได้
หลังได้รับการช่วยเหลือจากชาวบ้านบนหมู่เกาะมาร์แชลล์ อัลวาเรนกา ก็ต้องเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลอยู่หลายรอบ เนื่องจากสภาพร่างกายอ่อนแอ มีอาการขาดน้ำ, ปวดหลัง, ข้อต่อบวม และสมองยังเฉื่อยชา นายแพทย์ แฟรงคลิน เฮาส์ ซึ่งเข้าไปตรวจอาการของเขาเมื่อสัปดาห์ก่อนเผยว่า เขายังมีอาการเครียดจากประสบการณ์เลวร้ายที่เพิ่งผ่านพ้นมาหมาดๆ
อัลวาเรนกา อพยพจากเอลซัลวาดอร์ไปอาศัยอยู่ในเม็กซิโกอย่างผิดกฎหมายนานกว่า 10 ปี ก่อนจะออกเรือไปล่าฉลามจนประสบเคราะห์กรรมดังกล่าว
หนุ่มแคสต์อะเวย์ ยอมรับว่า อยากกลับไปใช้ชีวิตที่เม็กซิโกซึ่งเป็นเสมือนบ้านหลังที่สอง แต่ คริสเตียน เคลย์ เมนเดซ นักการทูตเม็กซิโกประจำกรุงมะนิลา ซึ่งได้เดินทางไปเกาะปะการังมาจูโรเพื่ออำนวยความสะดวกในการส่งตัว อัลวาเรนกา กลับบ้านเกิด ยืนยันว่าเขาจะต้องกลับไปเอลซัลวาดอร์เสียก่อน และหากต้องการกลับไปเม็กซิโกก็ต้องทำเรื่องขออนุญาตเข้าประเทศให้ถูกต้องตามกฎหมาย
พ่อแม่ของ อัลวาเรนกา ซึ่งอาศัยอยู่ทางภาคตะวันตกของเอลซัลวาดอร์ ต่างปลาบปลื้มเมื่อได้รู้ว่าลูกชายยังมีชีวิตอยู่เนื่องจากไม่ได้พบหน้ากันมา 6 ปีแล้ว และเชื่อว่าการรอดชีวิตของเขาเป็น “ความมหัศจรรย์จากพระเจ้า”
หลัง อัลวาเรนกา หายออกจากบ้านไป พ่อแม่ของเขาก็ต้องรับภาระดูแล ฟาติมา หลานสาวคนเดียว ซึ่งเวลานี้อายุได้ 14 ปี
สาวน้อยแทบไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพ่อของเธอ และนึกใบหน้าพ่อไม่ออกด้วยซ้ำ จนกระทั่งหนังสือพิมพ์ได้เผยแพร่ภาพหนุ่มใหญ่หนวดเครารุงรังที่ถูกคลื่นซัดมาเกยหาดบนหมู่เกาะมาร์แชลล์เมื่อวันที่ 30 มกราคม
อัลวาเรนกา ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอเอฟพีขณะพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลบนหมู่เกาะมาร์แชลล์ว่า เขาเคยคิด “ฆ่าตัวตาย” หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจรักษาชีวิตไว้ เพราะยังมีความหวังว่าจะได้กลับบ้านไปกิน “ตอร์ตียา” และเนื้อไก่นุ่มๆ กับครอบครัว
มาเรีย จูเลีย มารดาของหนุ่มแคสต์อะเวย์ บอกว่าเธอจะทำกับข้าวอร่อยๆ ไว้รอการกลับมาของลูกชาย
“เราจะทำอาหารมื้อใหญ่ไว้เลี้ยงต้อนรับเขากลับบ้าน แต่จะไม่ทำปลาหรอก เพราะเขาคงเบื่อแย่แล้ว... ฉันจะทำเนื้อ, ถั่ว และชีส ให้เขาทาน เขาจะได้แข็งแรงเร็วๆ”
อัลวาเรนกา ซึ่งบัดนี้ตัดผมสั้นและโกนหนวดเคราจนดูสะอาดสะอ้าน เดินทางถึงเอลซัลวาดอร์เมื่อวันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ และคาดว่าจะต้องถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลใกล้ๆ กรุงซันซัลวาดอร์ โดยแพทย์ที่นั่นจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าเมื่อใดจึงจะอนุญาตให้เขากลับไปยังหมู่บ้านชายทะเลที่เคยอาศัยอยู่เมื่อ 15 ปีก่อนได้