ทีมโฆษก ทบ.เผยผลประชุม นขต.ทบ. ชมกำลังพลปฏิบัติภารกิจ พ.ร.ก.ฉุกเฉินทุ่มเท ยังไม่ลดจุดตรวจ ปรับย้าย รปภ.รอบสวนลุมฯ 37 จุด เชื่อหลักฐานพอเอาผิด “สปป.ล้านนา” ไม่ยอมให้แยกประเทศ ปัดเลือกปฏิบัติ เมินแดงฟ้อง ฉะจวนตัวถึงแก้ต่าง ยันไม่ต้องให้ ปชช.สู้กันเอง เผย ผบ.ทบ.สั่งกองทัพภาคจับตาม็อบเผชิญหน้า ให้ทหารถกผู้ว่าฯ แก้ขัดแย้ง กำชับอย่าเข้าข้างฝ่ายใด สั่งปลูกป่าอาเซียน 41 พื้นที่ ลุยแก้น้ำท่วม-ภัยแล้งยั่งยืน
วันนี้ (3 มี.ค.) ที่กองบัญชาการกองทัพบก พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก แถลงผลการประชุมผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก (นขต.ทบ.) ประจำเดือนมีนาคม ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) เป็นประธานในการประชุมว่า ผบ.ทบ.ได้กล่าวชื่นชมและกล่าวขอบคุณกำลังพลทุกคนที่ได้ออกปฏิบัติภารกิจสนับสนุนการทำงานของศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) ในการดูแลความปลอดภัยตามประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งทุกส่วนได้ทำงานอย่างทุ่มเท สร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจให้กับประชาชน และขอให้ดำรงการปฏิบัติภารกิจป้องปราม และดูแลความปลอดภัยในภาพรวมไว้ตามเดิม โดยขณะนี้จะยังไม่มีการปรับลดจุดตรวจและภารกิจ เพื่อป้องปรามไม่ให้มีการใช้อาวุธสงคราม ใช้ความรุนแรง หรือกระทำผิดกฎหมายในทุกพื้นที่ ซึ่งหากพื้นที่ใดมีความสุ่มเสี่ยงมากก็จะสลับกำลังจากพื้นที่ที่มีความเสี่ยงน้อยไปดูแล เพื่อเพิ่มการดูแลรักษาความปลอดภัยให้มากขึ้น
“ในที่ประชุม ผบ.ทบ.มอบให้ทุกกองทัพภาคใช้โครงสร้างกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ภาค ในการสร้างความเข้าใจ สร้างความเชื่อมั่น และป้องกันไม่ให้มีการเผชิญหน้าของมวลชนกลุ่มต่างๆ และติดตามการดำเนินการใดๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคง ซึ่งที่ผ่านมากองทัพภาคได้ประชุมหารือ ประเมินสถานการณ์ความมั่นคงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ร่วมกับทางจังหวัด พร้อมทั้งการหาแนวทางแก้ปัญหาและสร้างความเข้าใจในปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องความคิดต่างทางการเมือง ปัญหาผลผลิตการเกษตร ปัญหาภัยแล้ง การใช้สถานีวิทยุของส่วนราชการในการสร้างเครือข่ายให้กับวิทยุชุมชน เพื่อสร้างความเข้าใจในทุกปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ในสถานการณ์ปัจจุบัน การดำเนินการใดๆ ของกองทัพบก มีเจตนาเพื่อคลี่คลายปัญหาต่างๆ ในภาพรวม มิได้ไปสนับสนุนหรือขัดขวางฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด มุ่งรักษากฎกติกาและกฎหมายของบ้านเมือง พร้อมให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดย ผบ.ทบ.กำชับให้ผู้บังคับหน่วยถึงการวางตัวของทหารอย่างเหมาะสมต่อสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน พร้อมสร้างความเข้าใจกับสังคม กำลังพลและครอบครัวในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่ถูกเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดีย เพื่อมิให้ตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง” รองโฆษกกองทัพบกกล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า ภายหลังกลุ่ม กปปส.ได้ยุบการชุมนุมในเวทีอื่นๆ โดยได้ไปรวมตัวที่สวนลุมพินีเพียงจุดเดียวนั้น ทาง พล.ต.วราห์ บุญญะสิทธิ์ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.1 รอ.) ในฐานะ ผบ.กองกำลังทหารยังคงใช้กำลังทหาร 56 กองร้อย จำนวน 176 ชุดตามเดิม แต่ได้มีการปรับกำลัง โดยยุบภารกิจชุดปฏิบัติการมวลชน และ จุดตรวจความมั่นคงบริเวณพื้นที่ราชประสงค์ ปทุมวัน อโศกลง หลังจากแกนนำประกาศยุบเวที โดยสับเปลี่ยนกำลังทหารไปรักษาความปลอดภัยบริเวณรอบสวนลุมพินีประมาณ 37 จุด ส่วนบริเวณสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมที่มีการวางกำลังของหน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ (นปอ.) ไว้ 2 กองร้อยนั้น ได้มีการปรับกำลังของ นปอ.ไปดูแลรักษาความปลอดภัยในพื้นที่อื่นที่เหมาะสม
ส่วน พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก แถลงถึงกรณีที่กองทัพบกแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินคดีต่อกลุ่มเสื้อแดง จ.พะเยา และกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ที่มีแนวคิดแบ่งแยกประเทศด้วยการจัดตั้ง สปป.ล้านนา ว่าทางฝ่ายกฎหมายของกองทัพบกได้พิจารณาว่า เข้าข่ายความผิดทางประมวลกฎหมายอาญาที่จะต้องดำเนินการด้านกฎหมาย ยืนยันว่า กองทัพบกปฏิบัติโดยไม่เข้าข้างใคร แต่จำเป็นต้องรักษากฎหมายในภาพรวม ส่วนกรณีของกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) ที่กองทัพบกไม่ได้ดำเนินการนั้น เนื่องจากรัฐบาล ศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ได้ดำเนินการอยู่แล้ว โดยมีคดีกว่า 100 คดีที่อยู่ในขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม ทางกองทัพจึงไม่ได้เข้าไปดำเนินการ ทั้งนี้กองทัพจะไม่ยอมให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมาแบ่งแยก สร้างความแตกแยก หรือจัดตั้งกองกำลัง เพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่อประชาชนและสังคมเป็นอันขาด ถ้ากปปส.กระทำความผิดก็จะต้องถูกดำเนินคดีเช่นเดียวกัน ทุกฝ่ายต้องยอมรับกติกา กระบวนการ และกฎหมายที่มีผลบังคับใช้อยู่ กองทัพบกและกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) มุ่งหวังจะแก้ปัญหาให้เป็นไปในแนวทางสันติวิธี เคารพกระบวนการของประชาธิปไตย และกฎหมาย ไม่ต้องการให้ประชาชนลุกขึ้นมาต่อสู้กันเอง หากประชาชนได้รับบาดเจ็บหรือสูญเสีย ทางผู้บริหารหรือแกนนำ และฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบ
“ยืนยันว่าที่ผ่านมาทางกองทัพไม่ได้เลือกปฏิบัติ และดำเนินการภายใต้กรอบกติกา เพื่อดูแลสถานการณ์ให้ได้อย่างดีที่สุด พยายามรักษาสมดุลความรู้สึกของทุกฝ่าย โดยไม่ก้าวล่วงความคิดเห็นที่แตกต่างกัน กองทัพเคารพสิทธิการแสดงออกภายใต้กรอบของกฎหมายของทุกฝ่าย แต่มีบางกรณีที่ไม่ได้อยู่ในกรอบของการแสดงออกตามสิทธิที่พึงกระทำ เช่น การล่วงละเมิดสถาบัน หรือการกระทำที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงอย่างรุนแรง โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ สปป.ล้านนา ที่ผ่านมายังไม่มีหน่วยงานใดเข้าไปดำเนินการ ทั้งที่เข้าข่ายมีความผิดที่ร้ายแรง กองทัพจำเป็นต้องดำเนินการในฐานะที่รับผิดชอบงานด้านความมั่นคง ซึ่งทางกองทัพภาคที่ 3 ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะประจักษ์เห็นการขึ้นป้ายผ้าที่แสดงสัญลักษณ์ในลักษณะการโฆษณา และได้ข้อมูลจากพยานที่เป็นประชาชนและสื่อมวลชนที่อยู่ร่วมกิจกรรมวันดังกล่าว
ส่วนจะดำเนินการได้มากน้อยเพียงใด ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของกระบวนการสืบสวนดำเนินการก่อน ส่วนกองทัพบกมีคณะทำงานด้านกฎหมาย ที่ผ่านมาการชุมนุมของบางกลุ่มค่อนข้างล่อแหลมสุ่มเสี่ยงต่อการกระทำผิดกฎหมาย กองทัพจึงเข้าไปดำเนินการเพื่ออุดช่องโหว่ในส่วนของที่ยังหน่วยงานอื่นเข้าไปดำเนินการ” พ.อ.วินธัย กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีที่มีการชี้แจงว่าการจัดตั้ง สปป.ล้านนา ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นการแบ่งแยกประเทศ แต่เป็นการปกป้องประชาธิปไตย และจะฟ้อง ผบ.ทบ.กลับ พ.อ.วินธัยกล่าวว่า จะฟ้องหรือไม่ เป็นเรื่องของพนักงานสอบสวน เพราะการดำเนินคดีมีขั้นตอน แต่ขณะนี้เรามีหลักฐานอยู่ในระดับหนึ่ง ทั้งนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่าหลังจากที่หน่วยความมั่นคงใช้การดำเนินการทางด้านกฎหมายจึงเริ่มมีการอธิบายทำความเข้าใจย้อนหลัง แก้ต่างตามออกมา แต่ช่วงแรกไม่มีผู้ใดมาชี้แจง ส่วนข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรต้องรอกระบวนการสอบสวนในรายละเอียดต่อไป ซึ่งมีขั้นตอนอยู่แล้ว เมื่อถามอีกว่าจะมีการยื่นเรื่องดังกล่าวนี้เป็นคดีพิเศษหรือไม่ พ.อ.วินธัยกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้มีการพูดถึง เพียงแต่เมื่อมีข้อมูลการร้องเรียนจากประชาชนและได้รับข่าวสารจากสื่อมวลชนทำให้เราสามารถดำเนินการทางกฎหมายได้ในเบื้องต้น โดยไม่ได้นิ่งเฉยต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
ขณะที่ พ.อ.หญิง ศิริจันทร์แถลงต่อว่า ในที่ประชุม ผบ.ทบ.ได้เน้นย้ำเรื่องการพัฒนาและช่วยเหลือประชาชน โดยให้แสวงความร่วมมือกับหน่วยงานอื่นๆ ในการผลักดันให้มีความคืบหน้าและเกิดความยั่งยืน โดยให้บูรณาการศูนย์การเรียนรู้ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เข้าด้วยกันสร้างเป็นโครงข่ายการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ทั้งนี้ ผบ.ทบ.สั่งการให้เดินหน้าโครงการปลูกป่าอาเซียน โดยประสานความร่วมมือเพิ่มเติมกับส่วนราชการในพื้นที่ชายแดน และหน่วยทหารของประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งขณะนี้กองกำลังป้องกันชายแดนของกองทัพบกมีแผนที่จะปลูกป่าจำนวน 41 พื้นที่ คิดเป็น 494 ไร่ โดยเน้นการปลูกไม้ยืนต้น และไม้ที่มีคุณค่าของภูมิภาค นอกจากนี้ ผบ.ทบ.ยังมอบให้นำเรื่องโครงการปลูกป่าอาเซียนเข้าสู่การประชุมคณะกรรมการร่วมในทุกระดับกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้เกิดเป็นความร่วมมือที่ยั่งยืน และสานสัมพันธ์อันดีต่อกัน
พ.อ.ศิริจันทร์กล่าวว่า ในที่ประชุม ผบ.ทบ.ได้กำชับให้ทุกหน่วยดำเนินการตาม “กรอบแนวทางดำเนินการของกองทัพบกในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งอย่างยั่งยืน” โดยดำเนินการใน 2 ระยะ ได้แก่ ระยะสั้น การดำเนินโครงการปรับปรุงและพัฒนาแหล่งน้ำตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ดำเนินการในพื้นที่26 จังหวัด รวม 59 แผนงาน ขณะนี้คืบหน้าไปแล้ว 36% และโครงการความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ เช่น โครงการพัฒนาแก้มลิงหนองเลิงเปือยฯ จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งขณะนี้คืบหน้าไปแล้ว 63% สำหรับในระยะยาว เป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาในห้วง 5-10 ปี ได้แก่ สนับสนุนการดำเนินการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาล โครงการ “ฟื้นฟูป่าต้นน้ำเฉลิมพระเกียรติฯ” และการสร้างจิตสำนึกรักษ์ธรรมชาติ สำหรับการแก้ไขปัญหาภัยแล้งเร่งด่วนเฉพาะหน้ากองทัพบกได้สานต่อโครงการ “ราษฎร์ รัฐ ร่วมใจ ช่วยภัยแล้ว” ปีที่ 15 ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกองทัพบกกับหน่วยงานภาคีรวม 5 หน่วยงาน โดยนำน้ำไปแจกจ่ายบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ผู้ประสบภัยแล้ง โดยจะมีพิธีเปิดโครงการใน 6 มี.ค.นี้ ณ กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.)