โฆษกประชาธิปัตย์ จี้ฝ่ายความมั่นคงเอาจริงเอาจังจัดการพวกแบ่งแยกดินแดน เป็นกบฏชัดเจน โวย “ยิ่งลักษณ์” ไม่เตือนสอดคล้องแดงย้ายเมืองหลวงหากโดนคดี แย้มเตรียมยื่นยุบเพื่อไทยแน่ “จุฤทธิ์” ไล่เพิ่ม พ.ร.ก.ฉุกเฉินพื้นที่แดงขอตั้งกองกำลัง ทวง “ชาดา” ประณาม “ปู” เงียบกริบจำนำข้าว “มัลลิกา” แนะ ป.ป.ช.เอาข้อมูล สตง.ไปประกอบการลงทัณฑ์
วันนี้ (3 มี.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองโดยแสดงความเป็นห่วงความคิดที่จะแบ่งแยกประเทศไทยออกเป็นสองประเทศ ตั้งชื่อประเทศใหม่ว่าเป็น “สปป.ล้านนา” ว่า เป็นเรื่องที่ฝ่ายความมั่นคงต้องเอาจริงเอาจัง เพราะมีการพูดบนเวทีคนเสื้อแดงที่ จ.นครราชสีมาอย่างชัดเจน แม้แต่อดีต ส.ส.เพื่อไทยก็ให้ความเห็นในลักษณะเดียวกัน ซึ่งถือเป็นกบฏแห่งราชอาณาจักรไทย แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กลับไม่มีการตักเตือนหรือเอาผิดคนเหล่านี้ จึงสอดคล้องกับยุทธศาสตร์คนเสื้อแดงว่า ถ้า ป.ป.ช.ดำเนินคดีต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะตั้งเมืองหลวงใหม่ที่ภาคเหนือ มีการจัดกองกำลังโดยนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ รองเลขานายกฯ เพื่อสนับสนุนให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป เพื่อกดดันไม่ให้กฎหมาย ทั้งนี้ขอเรียกร้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์กลับ กทม.ให้สมกับเป็นรักษาการนายกฯ เนื่องจากการชุมนุมของกลุ่ม กปปส.ได้รวมเหลือเวทีเดียวที่สวนลุมพินีแล้วจึงควรกลับมาทำหน้าที่ของตัวเอง และให้เร่งจัดการกับกลุ่มบุคคลที่ปองร้ายประชาชนที่ติดสัญลักษณ์ธงชาติ หากเป็นประชาธิปไตยจริง น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้อง กลับเมืองหลวงของไทยคือกรุงเทพมหานคร ไม่ใช่นครเชียงใหม่เพื่อจัดการเรื่องดังกล่าวเป็นภารกิจแรก
นายชวนนท์กล่าวว่า นอกจากนียังมีกรณีที่มีการใช้ปืนเอ็ม 16 กราดยิงใส่บ้านพักของคุณหญิงศศิมา ศรีวิกรม์ มารดานางทยา ทีปสุวรรณ แกนนำ กปปส. หลังเป่านกหวีดใส่คุณหญิงพจมาน ชินวัตร อดีตภรรยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ชัดเจนว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอำนาจรัฐ ใครเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์และตระกูลชินวัตรสามารถตายได้ทันที โดยที่ตำรวจจับกุมไม่ได้และอาจจะอำนวยความสะดวกให้ด้วยซ้ำ ทั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์จะรวบรวมหลักฐานทั้งหมดยื่นยุบพรรคเพื่อไทย ในกรณีที่นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่สนับสนุนการแบ่งแยกประเทศอันถือว่าเป็นความผิดในฐานกบฏ
นายชวนนท์กล่าวด้วยว่า ผลการไปใช้สิทธิเลือกตั้งทดแทนใน 5 จังหวัดเมื่อวันที่ 2 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมีผู้ไปใช้สิทธิเพียงกว่า 10% สะท้อนว่าประชาชนปฏิเสธการเลือกตั้งครั้งนี้แต่ต้องการการปฏิรูปประเทศ และในวันที่ 4 มี.ค.นี้จะครบ 30 วันหลังมีการเลือกตั้งในวันที 2 ก.พ.แต่ยังไม่สามารถเปิดประชุมสภาได้ เนื่องจากยังไม่มี ส.ส. จึงขอให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ทบทวนเพื่อไม่เดินเข้าสู่สุญญากาศทางการเมืองที่จะทำให้ประเทศชาติเสียหาย
ด้านนายจุฤทธิ์ ลักษณวิศิษฏ์ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้ยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะผู้ชุมนุมได้เข้าไปชุมนุมที่สวนลุมพินีเพียงแห่งเดียว และหลังมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ดังกล่าวไม่สามารถจับคนร้ายได้แต่กลับก่อให้เกิดเหตุรุนแรงมากขึ้น กลายเป็น พ.ร.ก.ไม่สมประกอบ ดังนั้น หากรัฐบาลจะคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้ให้ประกาศเพิ่มในจังหวัดที่มีการระดมคนแบ่งแยกประเทศ หรือจังหวัดที่มีการรับสมัครอาสาเถื่อนปกป้องระบอบทักษิณ เพราะจะมีการฝึกอาวุธ กำลังพล ในรูปแบบคอมมิวนิสต์เก่า ซึ่งอยู่ในหลักเกณฑ์ที่ควรประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
นายจุฤทธิ์กล่าวว่า ในวันนี้ครบ 1 สัปดาห์หลังจากที่ชาวนานำโดยนายชาดา ไทยเศรษฐ์ อดีต ส.ส.อุทัยธานี พรรคชาติไทยพัฒนา เดินทางกลับภูมิลำเนาหลังบุกกรุงเทพ เพราะเชื่อว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะปฏิบัติตามสัญญาด้วยการจ่ายเงินจำนำข้าวให้ชาวนา แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ จึงขอให้นายชาดาและแกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา ร่วมกันประนาม น.ส.ยิ่งลักษณ์และเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งจ่ายเงินชาวนาโดยด่วน เพราะขณะนี้ยังไม่รู้ว่าชาวนาจะได้เงินคืนชาติไหน ในขณะที่ชาวนามีหนี้ที่ต้องจ่ายก่อน 31 มี.ค. 57 ดังนั้นต้องเร่งหาเงินให้ชาวนา
“การอ้างจีทูจีนั้นความจริงคือ จีบายจี หรือ เจี๊ยะบายเจ๊ ทำให้รัฐบาลไม่เร่งระบายข้าวในขณะที่ข้าวฤดูกาล 56/57 เริ่มเข้าโรงสีแล้ว ทำให้ราคาข้าวตกต่ำลงเหลือแค่ตันละ 5 พันบาท กลายเป็นกรรมซ้ำสองที่รัฐบาลทำลายตลาดค้าข้าวของชาวนาเรียบร้อยแล้ว จากสัปดาห์ที่แล้วราคายังอยู่ที่ 8 พันบาท แต่เมื่อรัฐบาลเบี้ยวจ่ายหนี้จำนำข้าวทำให้ถูกกดราคาซ้ำ เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขโดยเร็ว” นายจุฤทธิ์กล่าว
ขณะที่ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ นำเอกสารหนังสือด่วนที่สุด 5 ฉบับที่ลงนามโดยเจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2554 มีเนื้อหาเตือน น.ส.ยิ่งลักษณ์ เกี่ยวกับการใช้เงินในโครงการจำนำข้าว มาย้ำเตือนให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตระหนักว่าเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตจำนำข้าว แต่ในขณะนี้ปล่อยให้มีการกดดัน ป.ป.ช.โดยอ้างว่าไม่ทราบเรื่องทั้งที่มีการเตือนในเรื่องนี้จากหลายหน่วยงาน รวมทั้ง สตง.ที่ส่งหนังสือเตือนไปยัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ และนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และรมว.คลังตั้งแต่ปี 2554-2557 เป็นจำนวน 5 ฉบับและเรียกร้องให้ ป.ป.ช.นำหลักฐานดังกล่าวไปประกอบการไต่สวนในความผิดกฎหมายอาญามาตรา 157 และคดีอาญาอื่นด้วย
น.ส.มัลลิกายังเรียกร้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ประกาศจุดยืนเกี่ยวกับการปราบปรามคอร์รัปชัน และยับยั้งการคุกคามบุคลากรทางการแพทย์จากที่คนเสื้อแดงไปปลดยป้ายต่อต้านรัฐบาลโกงของโรงพยาบาลต่างๆ และยังมีการข่มขู่ว่า นกจากจะปลดป้ายแล้วยังประกาศจะปิดโรงพยาบาลด้ว ในขณะที่รัฐบาลไม่ดำเนินการอะไรเลย พร้อมตั้งคำถามว่าทำไมรัฐบาลและคนเสื้อแดงจึงทนไม่ได้กับข้อความประณามรัฐบาลขี้โกง