xs
xsm
sm
md
lg

สุเทพลั่นยุบแต่ไม่ถอย เด็กเหยื่อบึ้มอาการดีขึ้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"สุเทพ" ยันยุบรวมเวทีเหลือที่ลุมพินีแห่งเดียวไม่ใช่การถอย แต่เป็นการจัดทัพให้แข็งแกร่งมากขึ้น ลั่นจากนี้จะไปโจมตีธุรกิจในเครือชินวัตรทุกวัน "น้องฟลุ๊ก" เหยื่อบึ้มบิ๊กซี ราชดำริ อาการดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แพทย์ถอดเครื่องช่วยหายใจออก ตัดไหมผ่าตัดแล้ว สามารถกินและพูดคุยได้ ย้ายออกจากห้องไอซียู. แล้ว ด้าน สธ.สั่งคุมเข้มพื้นที่กระทรวง หลังมีข่าว "เสื้อแดง" เตรียมบุก

วานนี้ (2 มี.ค.) การชุมนุมของกลุ่ม กปปส. ที่นำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ได้มีการยุบเวทีที่ปทุมวัน ราชประสงค์ และอโศก โดยไปรวมกันที่สวนลุมพินีแห่งเดียว เพื่อเปิดการจราจรคืนพื้นที่ให้กรุงเทพมหานคร และให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบายในการเดินทาง ขณะที่กลุ่ม คปท.จะยังคงปักหลักที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อรักษาพื้นที่ ซึ่งเป็นหัวใจของการบริหารประเทศ เช่นเดียวกับที่เวทีแจ้งวัฒนะ ที่หลวงปู่พุทธะอิสระ เป็นแกนนำก็ยังคงชุมนุมอยู่ที่เดิม เช่นเดียวกับ เวทีกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ(กปท.) และกลุ่มกองทัพธรรม ยังปักหลักอยู่ที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ เพราะยังมีภารกิจที่จะปิดสถานที่ราชการ อย่างน้อย 4 กระทรวง แต่ก็ได้พิจารณาอำนวยความสะดวกในการจราจรมากขึ้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 09.42 น. นายสุเทพ เทพสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย นายสกลธี ภัททิยกุล แกนนำ กปปส. นำกลุ่มผู้ชุมนุมจากเวที กปปส.ปทุมวัน เคลื่อนขบวนเพื่อย้ายเวทีไปรวมที่เวที กปปส. สวนลุมพินี ใช้เส้นทางมุ่งหน้าถนนพญาไท เลี้ยวซ้ายเข้าถนนพระราม 4 มุ่งสู่สวนลุมพีนี โดยมี นายอุทัย ยอดมณี ผู้ประสานงานกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) เข้าร่วมเดินขบวนเพื่อแสดงจุดยืนในการต่อสู้ร่วมกัน ทั้งนี้ บรรยากาศในการเคลื่อนขบวนเป็นไปอย่างคึกคัก โดยมีขบวนกลองยาวและคณะเชิดสิงโตนำหน้าขบวน เพื่อเป็นการนำฤกษ์ นำชัยชนะในการต่อสู้

นายอุทัย ยอดมณี ผู้ประสานงาน คปท. เปิดเผยถึงการปรับยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหวของกลุ่ม กปปส. ในการคืนพื้นที่ให้กรุงเทพมหานครเปิดการจราจรให้ประชาชนว่า ในส่วนของกลุ่ม คปท.จะยังคงปักหลักชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลเช่นเดิม ไม่ย้ายไปที่ใด และมุ่งหน้าปฏิบัติการขับไล่รัฐบาลรักษาการ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และโค่นล้มระบอบทักษิณ เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปประเทศต่อไป ซึ่งวิธีการจะเป็นไปในรูปแบบใดนั้น ยังต้องมีการหารือร่วมกันกับกลุ่ม กปปส.อีกครั้ง เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนในสัปดาห์นี้

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ โฆษก กปปส. ยืนยันว่า เหตุผลหลักของการตัดสินใจยุบรวม เหลือเวทีสวนลุมพินีเพียงเวที คือประเด็นเรื่องการคืนพื้นที่การจราจรให้กับชาวกรุงเทพมหานคร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ส่วนเรื่องความปลอดภัยไม่ใช่เหตุผลหลัก และไม่ใช่ปัจจัยในการตัดสินใจ เพราะว่า แต่ละเวทีมีปัจจัยเรื่องความปลอดภัยแตกต่างกันไปอยู่แล้ว

ส่วนที่เลือกสวนลุมพินี เพราะว่าเป็นพื้นที่กว้าง สามารถรองรับมวลชนได้มาก โดยไม่ต้องออกมากีดขวางเส้นทางการจราจร ซึ่งการเหลือเวทีเดียวจะทำให้เนื้อหาบนเวทีปราศรัยเข้มข้นขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้นั้น ต้องกระจายผู้ปราศรัยออกไป 4 เวที

ต่อมา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้ขึ้นปราศรัยที่เวทีสวนลุมพินีโดยกล่าวเปิดการชุมนุมที่สวนลุมพินี ว่า ขอต้อนรับมวลชนสู่ฐานที่ตั้งใหม่ในการต่อสู้ พร้อมย้ำว่า การชุมนุมปิดกรุงเทพมหานครกว่าเดือนครึ่ง ทำให้เห็นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ไม่มีความชอบธรรมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี หรือเป็นรัฐบาลแล้ว เพราะที่ผ่านมามีแต่ความล้มเหลวในการควบคุมการชุมนุม ทั้งยังทำหน้าที่เหนือกฎหมายรัฐธรรมนูญ ไม่ฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ทำลายหลักนิติรัฐ นิติธรรม

นายสุเทพ กล่าวย้ำว่า การยุบเวทีรวมกัน ไม่ใช่การถอยทัพ แต่เป็นการจัดทัพให้แข็งแรงมากขึ้น โดยต่อจากนี้ทุกวัน จะแยกย้ายไปโจมตีธุรกิจในเครือชินวัตรให้ได้รับผลกระทบมากที่สุด จนทำให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องเปลี่ยนใจหันมาขอเจรจาอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม บนเวทีจะนำผลการศึกษา บริษัทธุรกิจในเครือชินวัตร มาเผยแพร่ให้ทราบด้วย

"สุเทพ"ปัดนักธุรกิจลงขัน500ล้าน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่ช่วงเย็นที่ผ่านมา มีประชาชนทยอยเดินทางมาร่วมชุนนุมกับกปปส.กันอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งผู้ชุมนุมย้ายมาจากเวทีปทุมวันมาปักหลักที่เวทีสวนลุมพินีที่นั่งหลบร้อนตามร่มเงา ได้ทยอยออกมาฟังการปราศรัยหน้าเวที ขณะที่กิจกรรมบนเวที ได้มีการสลับเปลี่ยนการปราศรัยและการแสดงดนตรี เพื่อสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชุมนุม ส่วนด้านความพร้อมของเวทีทางทีมงานยังเร่งติดตั้งจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่บนเวที และเต้นขนาดใหญ่เพื่อเป็นกองอำนวยการด้านหลังเวที

เวลา 20.45 น. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ขึ้ยปราศรัยอีกครั้งว่ากปส.ปิดกรุงเทพมาเดือนครึ่ง แต่ยิ่งลักษณ์ ไม่เคยสนใจถึงความเดือดร้อนของประชาชน หนีไปอยู่เชียงใหม่ เชียงราย เห็นได้ชัดว่าเป็นรัฐบาลที่ล้มเหลว หนีปัญหาเราจึงตัดสินใจเปิดการจราจร คืนกรุงเทพฯให้พี่น้องประชาชน โดยไม่ใครมาบังคับ หรือแสดงความไม่พอใจเลย

ส่วนที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อ้างว่ามีนักธุรกิจลงขันให้ 500 ล้าน ให้ยุบรวมเวทีนั้น ไม่เป็นความจริง เป็นเรื่องที่โกหกทั้งสิ้น คนพวกนี้โกหกจนเคยตัว เหมือนกลุ่มเสื้อแดงที่ชุมนุมที่นครราชสีมา ประกาศตั้งกองกำลังติดอาสวุธ แบ่งแยกประเทศ ถ้าสู้ไม่ได้ก็จะไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น จะไปตั้งรัฐไทยใหม่ ให้ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้นำ แต่พอตนนำเรื่องนี้มาแจ้งให้ประชาชนทราบ คนพวกนี้กลับโกหกหน้าตาเฉยว่า ไม่ได้พูด

นอกจากนี้คนพวกนี้ยังโหดเหี้ยม อำมหิต แค่คุณธยา ทีปสุวรรณ เป่านกหวีดใส่คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ก็ได้รับการตอบโต้ด้วยการยิงถล่มบ้าน คุณหญิงศศิมา ศรีวิกรม์ เป็นร้อยนัด เขาพยายามแสดงให้คนทั้งประเทศเห็นว่าคนอย่างเขาใครแตะต้องไม่ได้ ถ้าแตะต้องจะถูกตอบโต้กลับไปทันที และรุนแรงกว่าหลายเท่า

เตรียมเป่านกหวีดชุมนุมใหญ่ อีกรอบ

นายสุเทพ กล่าวว่า สถานการณ์ความขัดแย้งที่เป็นอยู่ในขณะนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องลาออกไปเท่านั้นหรือไม่เช่นนั้นก็ต้องติดคุก การที่รัฐบาล เตรียมกองกำลังคนเสื้อแดง จะมาทำสงคราม มาปะทะกับมวลชน กปปส. ในกรุงเทพฯนั้น ถ้ามันมาจริง ตนก็จะพา กปปส.กลับบ้าน ไม่ปะทะด้วย ปล่อยให้เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารจัดการ เพราะถือว่าคนพวกนี้เป็นกบฏ

ขอให้อดใจรอ ถ้าศาลพิพากษา หรือ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดยิ่งลักษณ์ จากกรณีจำนำข้าว ขอให้จับตาดูว่าคนพวกนี้จะไม่ยอมรับอำนาจศาล ไม่ยอมรับอำนาจป.ป.ช. หาว่าถูกกลั่นแกล้ง คนพวกนี้ไม่เคารพศาล ไม่เคารพกฎหมาย อย่างเห็นได้ชัด คนพวกนี้ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองทำผิด ทุจริต คอร์รัปชัน

ดังนั้น เราต้องต่อสู้เพื่อขจัดคนเหล่านี้ จัดการกับเครือข่ายของทักษิณ แล้วทำการปฏิรูปประเทศ เพื่อลูกหลานของเรา เราจะต้องเดินหน้าต่อไป แล้วจะเห็นผลในไม่กี่วันนี้ ขอให้พี่น้องเตรียมตัว คอยติดตามว่า เราจะเป่านกหวีดชุมนุมใหญ่อีกครั้งเมื่อไร

นายสุเทพ กล่าวว่า ตนตั้งใจจะจัดคอนเสิร์ต เพื่อหาเงินช่วยเด็กๆ 10 กว่าคน ที่พ่อ แม่ มาบาดเจ็บ มาเสียชีวิต ในการมาร่วมชุมนุมต่อสู้กับพวกเรา แค่เราเกริ่น เท่านั้น ทีมดาราจากเวทีชิดลม ก็อาสาดำเนินการให้ทันที เอาเลยอาทิตย์หน้า ที่ชิดลม เริ่มบ่ายโมงถึง 4 ทุ่ม มีกิจกรรมทั้งบนเวที บนถนน นี่ก็เป็นน้ำใจของมวลมหาประชาชน

นพดลชี้ 10 เหตุผลต้องยุติความขัดแย้ง

นายนพดล ปัทมะ กรรมการยุทธศาสตร์ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่ กปปส. เกิดขึ้น ทำให้ประเทศเสียหายทางเศรษฐกิจแล้วกว่า 5 แสนล้านบาท และมีการบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ตนจึงเห็นว่า ต้องยุติความขัดแย้งโดยเร็วและหันหน้าเจรจาโดยมี 10 เหตุผลดังนี้

1.จากการสำรวจของดุสิตโพล คนไทยส่วนใหญ่ เรียกร้องให้ทุกฝ่ายเจรจา

2.สหประชาชาติ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป เรียกร้องให้มีการเจรจา

3.ความขัดแย้งต่อไป จะทำให้ความเสียหายทางเศรษฐกิจ เป็นความพินาศ

4.ข้อเรียกร้องให้มีนายกฯ คนกลาง สภาประชาชน และแช่แข็งประเทศของมวลมหาประชาชน กปปส.นั้น ปวงชนชาวไทยส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย 5.ความรุนแรงที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมมีมากขึ้น และการเสียชีวิตของเด็ก เป็นสิ่งที่คนรับไม่ได้

6.การชัตดาวน์กรุงเทพฯ สร้างความเดือดร้อนและทำลายธุรกิจ จน กปปส. ต้องชัตดาวน์เวทีตนเอง ไปรวมที่สวนลุม ซึ่งผู้ว่าฯกทม. คงจะดูแลอย่างดี

7.นายทุนเห็นว่า เริ่มชุมนุมยืดเยื้อ ท่อน้ำเลี้ยงเริ่มตีบตัน ราวกับท่อประปาในหน้าแล้ง

8.ผู้ชุมนุมเริ่มลดลง เพราะการชุมนุมยืดเยื้อ และเริ่มรู้ว่าสิ่งที่เรียกร้องไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและหลักการประชาธิปไตย แม้แต่ฝ่ายทหารก็บอกว่า ทุกฝ่ายต้องทำตามกฎหมายและสันติวิธี

9. การปิดหน่วยงานของรัฐ หรือธุรกิจของฝ่ายตรงข้าม มีผลตีกลับในทางลบ เพราะคนไม่ชอบการใช้ความรุนแรง และข่มขืนใจบุคคลอื่น ทำให้นักลงทุนต่างชาติ ขยาดที่จะลงทุนเพิ่ม

10. วิธีการคุกคามโดยเป่านกหวีดใส่หน้าคนอื่น การปิดล้อมบีบบังคับให้ข้าราชการออกจากที่ทำงาน การคุกคามขัดขวางการเลือกตั้ง เป็นการใช้ความรุนแรง และทำลายวัฒนธรรมอันดีงามของไทย คนไทยจึงรับไม่ได้

ทั้งนี้ตนจึงเห็นว่า รัฐบาลเหมือนรถไฟ ที่วิ่งบนราง ทำตามกฎกติกา กปปส. จึงไม่สามารถทำให้รถไฟตกรางได้ จะต้องขึ้นมาร่วมขบวนรถไฟ พูดคุยกันบนรางภายใต้กรอบกติกา นายสุเทพไม่ควรตั้งเงื่อนไขในการพูดคุยกับนายกฯเพราะ กปปส.มีหน้าที่ยุติความขัดแย้งโดยการเจรจาอย่างสันติวิธี คืนประเทศไทยให้คนไทย เพื่อเดินหน้าเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน อย่างไรก็ตามตนยืนยันว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ และบุคคลที่เกี่ยวข้อง มีอำนาจพูดคุยเจรจาได้ในทุกเรื่อง ส่วนนายสุเทพนั้น ควรมีหนังสือมอบอำนาจ มาด้วย เพื่อยืนยันว่าตนเองมีอำนาจเจรจา

พท.ปูด"สุเทพ"ย้ายเวทีเพื่อเงิน 500 ล.

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า กรณีที่นายสุเทพ ประกาศยุบเวทีให้เหลือเพียงเวทีเดียวที่สวนลุมพินี ส่งผลให้บรรดาแกนนำ กปปส.ผิดหวังกับการตัดสินใจของนายสุเทพ โดยเฉพาะหลวงปู่พุทธะอิสระ ซึ่งการกระทำดังกล่าว มาจากข้อมูลที่แม้แต่แกนนำกปปส.ก็ยังไม่รู้จึงอยากขอถามนายสุเทพว่า มีเงิน 500 ล้านบาท เข้ามาเกี่ยวข้องจริงหรือไม่ ในการว่าจ้างจากกลุ่มธุรกิจที่สนับสนุน กปปส. ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมที่ยืดเยื้อ โดยเฉพาะในย่านราชประสงค์

อีกทั้งยังขอทวงถามข้อมูลกรณีที่นายแทน เทือกสุบรรณ ได้ไปซื้อที่ดินกว่า 280 ล้านบาท เมื่อวันที่ กปปส. กระทำการชัตดาวน์กรุงเทพฯ และหน่วยงานราชการทั่วประเทศว่า เหตุใดจึงสามารถดำเนินการเรื่องดังกล่าวได้ ซึ่งกรณีนี้ เคยทวงถามไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่นายสุเทพ ไม่ยอมตอบคำถามนี้

ส่วนกรณีที่ นายสุเทพ ได้ปราศรัยกล่าวหารักษาการรัฐบาลว่า ต้องการแบ่งแยกประเทศ ขอปฏิเสธว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะเป็นเพียงความพยายามปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยกขึ้นในประเทศ เพื่อผลประโยชน์ของนายสุเทพ และ กลุ่ม กปปส.

พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาฯ สมช. และในฐานะเลขาธิการ ศรส. กล่าวถึงการยุบรวมเวทีของ กปปส.ว่า อาจเพื่อปรับการดูแลความปลอดภัยให้ง่ายขึ้น รวมถึงเปลี่ยนยุทธวิธีใหม่ ซึ่งทางศรส.จะไม่ประมาท และจะประเมินสถานการณ์วันต่อวัน ว่า การรวมเป็น 1 เวทีนั้น จะมีผู้ชุมนุมมากน้อยเพียงใด หากสัปดาห์หน้า สถานการณ์เบาบางลง อาจจะมีการปรับมาใช้ พ.ร.บ.มั่นคงแทน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่วนที่ กปปส. ประกาศว่าจะยุติการชุมนุมภายในเดือนมี.ค.นั้น อาจเป็นเพราะการคาดการณ์ผลจากองค์กรอิสระ

พล.ท.ภราดร ยังกล่าวถึง เหตุการณ์ลอบยิงบ้าน คุณหญิงศศิมา ศรีวิกรม์ แม่ของนางทยา ทีปสุวรรณว่า ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้รายงานเรื่องนี้มาที่ ศรส.แล้ว คาดว่าเป็นเรื่องของการเมือง แต่ยังไม่ทิ้งประเด็นอื่น ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวอยู่นอกเขตรับผิดชอบของศรส. จึงต้องรอให้หน่วยงานในพื้นที่ ประเมินต่อไป

"น้องฟลุ๊ก" เหยื่อบึ้มราชดำริอาการดีขึ้น

วานนี้ (2 มี.ค.) นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหา ด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีการชุมนุมทางการเมือง (ส่วนหน้า)ว่า สถานการณ์ของการชุมนุมทางการเมืองทั้งในกทม. และต่างจังหวัดในรอบ 24 ชั่วโมง มานี้ไม่มีผู้บาดเจ็บเพิ่ม ในการปฏิบัติงานของ สธ. ส่วนของพื้นที่กทม. ในวันที่ 2 มี.ค. ได้ปรับพื้นที่ดูแลผู้ชุมนุม โดยจัดทีมทั้งหมดดูแล 7 ทีม ประกอบด้วย ทีมจากโรงพยาบาลในสังกัดกรมการแพทย์โรงพยาบาลรามาธิบดี และทีมจากโรงพยาบาลหนองคาย โรงพยาบาลสุรินทร์ ปฏิบัติงานร่วมกับสภากาชาดไทย และกทม.และสำรองทีมจากโรงพยาบาลในพื้นที่ปริมณฑลพร้อมเสริมการทำงานเพิ่มเติมกรณีฉุกเฉิน สำหรับในส่วนของภูมิภาคที่มีการชุมนุม เช่น ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม อุดรธานีนครสวรรค์ และอีกหลายจังหวัด ได้กำชับให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไปที่อยู่ในสังกัดฯให้เตรียมพร้อมทีมแพทย์กู้ชีพ และได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช ผู้อำนวยการศูนย์ส่วนหน้า กล่าวว่า ข้อมูลผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากสถานการณ์ชุมนุมทางการเมือง ในรอบวัน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ถึงเวลา 10.00 น. วันที่ 2 มี.ค.ไม่มีผู้บาดเจ็บรายใหม่เพิ่มยอดรวมตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย.56 - 2 มี.ค.57 ผู้บาดเจ็บทั้งประเทศ 768 ราย เสียชีวิต 23 รายยังคงนอนพักรักษาตัว 34 รายโดยในพื้นที่กทม. มีผู้บาดเจ็บรวม 725 ราย เสียชีวิต 20 รายยังคงนอนรักษา 25 ราย

สำหรับเด็กที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ระเบิดที่บิ๊กซี ราชดำริ ขณะนี้ยังนอนรักษาตัว ที่รพ.รามาฯ อาการดีขึ้นมาก แผลแห้ง ตัดไหมแล้ว แผลสะเก็ดระเบิดดีขึ้น ส่วนในพื้นที่ต่างจังหวัด มีบาดเจ็บรวม 43 ราย ใน จ.ตราด ระยอง และ ปทุมธานี เสียชีวิต 3 ราย ขณะนี้ยังนอนพักรักษาตัว 9 รายโดยมี 1 ราย อยู่ที่โรงพยาบาลตราด อาการสาหัส ต้องเฝ้าติดตามใกล้ชิดเป็นหญิงอายุ 52 ปี บาดเจ็บที่ช่องท้อง ทรวงอกและที่ไขสันหลังแพทย์ตัดไตทิ้ง 1 ข้างและมีปัญหาเรื่องการหายใจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ อยู่ในห้องไอซียูทีมแพทย์ดูแลรักษาเต็มที่

ด้าน รพ.รามาธิบดี เปิดเผยข้อมูลอาการของด.ช.โยธิน ชะเอมรัมย์ หรือ น้องฟลุ๊ก ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุขว้างระเบิดที่หน้าบิ๊กซี ราชดำริ นั้น ขณะนี้น้องรู้สึกตัวแล้วมา 4 วัน แพทย์ได้ถอดเครื่องช่วยหายใจออกแล้ว ได้ตัดไหมแผลผ่าตัดแล้วให้รอดูอาการสมองบวมเล็กน้อย และรอดูสภาพแผล ตอนนี้มีเข้าเฝือกที่ขา สามารถกินอาหาร และพูดคุยได้ โดยได้ย้ายออกจากห้องไอ.ซี.ยู. ไปวอร์ดเด็กทั่วไป โดยรวมอาการดีขึ้นตามลำดับ

ทั้งนี้ แหล่งขาวกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า รถโรงพยาบาลสนามของจังหวัดสุราษฎร์ธานี สำหรับระบบการแพทย์ฉุกเฉิน ขนาด 6 เตียง พร้อมเครื่องปั่นไฟฟ้าในตัวเอง มีแอร์ ระบบสื่อสาร ระบบออกซิเจน 3 ถัง เครื่องมือแพทย์อุปรณ์สำหรับช่วยชีวิตและดูแลบาดแผล ใช้สำหรับกรณีอุบัติเหตุอุบัติภัยขนาดใหญ่ มูลค่ารถและเครื่องมือแพทย์กว่า 10 ล้านบาท ขณะนี้มุ่งหน้าถึงกรุงเทพฯ แล้ว โดยมาประจำอยู่แถวสีลม ทำหน้าที่เป็นโรงพยาบาลสนาม รองรับผู้บาดเจ็บจากการชุมนุมซึ่งกรณีดังกล่าวกลับมีบางกลุ่มมองว่า สมควรต้องใช้รถขนาดนี้ในการเตรียมการหรือไม่

ขณะที่เจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ฉุกเฉินรายหนึ่งระบุว่า เป็นการเตรียมพร้อมในเหตุวิกฤต ซึ่งสถานการณ์การเมือง ณ ปัจจุบันไม่มีใครทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้น จึงต้องเตรียมพร้อม

โวยสธ.ถูกแอบอ้างชื่อหนุนการเมือง

นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รักษาการ รมว.สาธารณสุข เปิดเผยว่า การใช้ตำแหน่งราชการ และสถานที่ราชการ จะต้องเป็นไปตามระเบียบของหน่วยงานและกฎหมายของบ้านเมือง เพราะสถานที่ราชการเป็นสถานที่สาธารณะ ไม่ได้เป็นของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ ที่จะมาอ้างสิทธิความเป็นเจ้าของได้ โดยเฉพาะการใช้ตำแหน่งหน้าที่ไปใช้ในการเรียกร้องทางการเมือง เพื่อไม่ให้เกิดความแตกแยก

นพ.ชาญวิทย์ ทระเทพ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า การรวบรวมรายชื่อบุคลากรสาธารณสุขจำนวนแสนกว่าชื่อ ไปแสดงความเห็นทางการเมือง ต้องลงชื่อโดยสมัครใจ และมีการตรวจสอบหลักฐานที่ถูกต้อง มิให้มีการแอบอ้างชื่อ โดยมิได้รับความยินยอมจากเจ้าตัว ย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย หากมีการแจ้งความดำเนินคดีในภายหลัง ผู้รวบรวม และผู้นำรายชื่อไปแอบอ้าง ย่อมต้องรับผิดชอบทางกฎหมาย และการออกแถลงการณ์ทางการเมืองใดๆ ต้องได้รับความเห็นชอบจากทุกคนในองค์กรนั้นๆ มิใช่ดำเนินการในนามส่วนตัวดังนั้นจึงไม่ควรอ้างหรือใช้ตำแหน่งใดๆ ในองค์กรมาแสดงความเห็นทางการเมือง เพราะต้องช่วยกันรักษาองค์กร และวิชาชีพ ดังนั้นความเห็นทางการเมืองควรใช้ชื่อของตนเองจะเหมาะสมกว่า

ทั้งนี้ การติดป้ายรณรงค์ใดๆ ในสถานที่ราชการ มีระเบียบข้อบังคับ และต้องได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชา ที่สำคัญ ต้องเป็นไปเพื่อภารกิจของกระทรวงสาธารณสุขคือการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค รักษาพยาบาลและฟื้นฟูสภาพ ให้เป็นประโยชน์แก่ประชาชนทั้งหมด ดังนั้นการกระทำดังกล่าวควรมีความเป็นกลางทางการเมืองและควรอยู่ในระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัดด้วย ย่อมจะไม่เกิดปัญหาความขัดแย้งใดๆ

สธ.สั่งคุมเข้มพื้นที่กระทรวงฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้มีการส่งต่อข้อมูลในสังคมออนไลน์ว่า สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สป.สธ.) มีคำสั่งแจ้งให้ทุกกรม แจ้งเจ้าหน้าที่ไม่ให้ขับรถไปทำงาน เนื่องจากมีข่าวว่า ม็อบเสื้อแดงจะบุกกระทรวงสัปดาห์หน้า เกรงว่ารถเจ้าหน้าที่จะถูกทำลาย และหากม็อบเสื้อแดงบุกจริง จะโทรแจ้งทุกกรม ประกาศให้เจ้าหน้าที่กลับบ้าน ซึ่ง นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดสธ. ได้เรียกประชุมสำนักใน สป.สธ. และกรมต่างๆ ในประเด็นความปลอดภัย ความเสี่ยงต่างๆ สรุปเป็นมาตรการดังนี้

1. ปิดประตูทางเข้าออกและลิฟท์ทุกอาคารเวลา 19.00 น.2. ให้เจ้าหน้าที่ติดบัตรประจำตัว3. ประตูทางเข้าออกรถยนต์เปิดตามเวลาที่เคยปฏิบัติ ปิดทุกประตู 20.00 น. และหลังเวลา 20.00 น. จะตรวจบัตร เข้าประตูไหนต้องออกประตูนั้น4. สำหรับอาทิตย์หน้างดตลาดนัดทุกกรม โดยจะประเมินอาทิตย์ต่ออาทิตย์5. ให้ทุกกรมทำแผนและให้มีการซ้อมแผน โดยมอบ นพ.บัญชา ค้าของ ผอ.สำนักสำนักบริหารกลาง ดำเนินการตามแผนของ สป.สธ.และ 6. เชิญ ผอ.ทุกสำนักประชุม วันที่ 3 มี.ค. เวลา 08.30 น.

ทั้งนี้ แหล่งข่าวสธ. เปิดเผยว่า การส่งข้อความต่างๆ ค่อนข้างเกินเลยไปจากความเป็นจริง ทั้งนี้การประชุมเพื่อเตรียมรับมือความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ สธ. ได้ประชุมตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. แล้ว แต่ไม่ได้รับมือความปลอดภัยเฉพาะม็อบกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นการเตรียมความปลอดภัยเท่านั้น ซึ่งปกติเจ้าหน้าที่ สธ. จะอยู่ทำงานจนมืดค่ำจึงมีคำสั่งให้ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. เป็นต้นไป ให้ออกจากตึกตั้งแต่ เวลา 19.00 น. เพื่อความปลอดภัยของตัวเจ้าหน้าที่เอง และในเวลา 20.00 น. เป็นต้นไป จนถึงเวลา 05.00 น. ก็จะมีการตรวจเข้มการเข้าออก เพื่อไม่ให้รถจากภายนอกผ่านเข้ามาในพื้นที่ช่วงเวลาดังกล่าว เพราะที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะมีผู้ขับรถเข้ามาภายในกระทรวง เพื่อใช้เป็นเส้นทางลัดจากถนนหนึ่งไปอีกถนนหนึ่งทั้งนี้ หากเป็นข้าราชการ เจ้าหน้าที่ สธ. ก็ต้องแสดงบัตรตามปกติ และในวันที่ 3 มี.ค.เป็นต้นไป ก็จะมีการตรวจบัตรก่อนเข้าตึกด้วย โดยมาตรการความปลอดภัยนี้ จะดำเนินต่อไปตลอดระยะเวลาที่มีการชุมนุม

ด้านนพ.วชิระ เพ็งจันทร์ รองปลัด สธ. กล่าวว่าการส่งข้อความ คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงมาก โดยเฉพาะประเด็นการระวังนำรถยนต์เข้ามาภายใน สธ. อาจถูกทำลายนั้นเป็นเรื่องเกินจริง ไม่ได้มีการออกมาตรการขนาดนั้น แต่เป็นการเตือนโดยภาพรวมมากกว่า ซึ่งขอย้ำว่า ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ สธ.ทุกคนยังคงทำงานเพื่อประชาชนต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า มีการแจกกระดาษข้อความถึงผู้ที่เดินทางผ่านเข้ามาใน สธ.ด้วยว่า "ขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจากขณะนี้อยู่ภาวะเหตุการณ์ความไม่สงบภายในบ้านเมือง จึงไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกใช้เส้นทางผ่าน เข้า-ออก บริเวณกระทรวงสาธารณสุข เป็นการชั่วคราว ระหว่างเวลา 19.00 - 05.00 น.ยกเว้นข้าราชการสังกัดกระทรวงสาธารณสุข กรุณาแสดงบัตรประจำตัวข้าราชการ และโปรดแจ้งวัตถุประสงค์เพื่อให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตรวจสอบ"

ตร.จับการ์ดกปปส. 2 คน

เมื่อเวลา 02.00 น. วานนี้ (2 มี.ค.) เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายปราบปราม สน.พญาไท สนธิกำลังฝ่ายปราบปราม สน.มักกะสัน เจ้าหน้าที่ตำรวจภาค 1 ตั้งด่านความมั่นคง บริเวณแยกเพชรบุรีตัดชิดลม ถ.เพชรบุรี แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี ได้มีรถต้องสงสัย ยี่ห้อฮอนด้า ซีอาวี สีเขียวเข้ม หมายเลขทะเบียน ภฉ 904 กรุงเทพมหานคร พบว่าผู้ที่ขับขี่มีพิรุธ จึงขอเข้าตรวจค้น ภายในรถโดยมีนายพรชัย จิรวัฒนานุกูล อายุ 46 ปี ผู้ขับขี่ และ นายไตรฉัตร จันทร์ทองสุข อายุ 37ปี นั่งมาด้วย

จากตรวจค้น พบอาวุธปืนลูกซองสั้นไทยประดิษฐ์ สีดำ 1 กระบอก กระสุนปืนลูกซองขนาด 12 จำนวน 9 นัด ซองใส่กระสุนปืน 2 อัน เสื้อเกราะ 2 ตัว วิทยุสื่อสารมือถือ 1 ตัว โทรศัพท์มือถือ 4 เครื่อง กระเป๋าสะพายข้างสีดำ 2 ใบ และผ้าพันคอสีดำ มีสัญลักษณ์ ผู้ชุมุนม จึงรวบรวมเป็นหลักฐานก่อนนำตัวมาสอบสวนที่ สน.พญาไท ขณะที่นำตัวผู้ต้องหาส่ง สน.นั้นได้มีกลุ่มจยย. จำนวนมาก วิ่งเข้ามาที่ด่านความมั่นคง เพื่อไถ่ถามหาตัวผู้ที่ถูกจับกุมดังกล่าว ทำให้เจ้าหน้าที่ ต้องรีบนำตัวส่ง สน.เป็นการด่วน แต่ไม่เกิดเหตุร้ายการณ์ร้ายแรงแต่อย่างใด

สอบสวนผู้ต้องหาทั้งสองให้การปฏิเสธว่า อาวุธปืนที่พบเป็นของเพื่อน ซึ่งทั้ง 2 กำลังอยู่ระหว่างการย้ายข้าวของ จากการชุมนุมที่เวทีจากย่านถนนพระราม 1 ไปยังเวทีสวนลุมฯ เนื่องจากในช่วงเช้าจะมีการย้ายเวทีการชุมนุมของ กลุ่ม กปปส. อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อคำให้การ ต้องทำการสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้ง

เบื้องต้นได้แจ้งข้อหา “มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน, พกพาไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีเหตุอันควรและมีวิทยุสื่อสารไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ในช่วงที่มีประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉิน”ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการตรวจสอบประวัติอาชญากรรม ทราบว่า นายพรชัย เคยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.น.7 ทำการจับกุมตัว หลังทราบว่า เป็นหนึ่งในหัวหน้าชุดรักษาความปลอดภัย (การ์ด) ประจำเวทีปทุมวัน โดยมีหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย หนึ่งในแกนนำ กปปส. และร่วมชุมนุมมานานแล้ว โดยพักอาศัยอยู่ภายใน ซอยสวนผัก 44 เขตตลิ่งชัน ก่อนถูกจับกุมได้เครื่องแต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่ เพื่ออำพรางตัว มีการนำอาวุธปืนไปร่วมชุมนุมตามปกติ และได้มีการแถลงผลการจับกุมไปเมื่อ ช่วงหัวค่ำของวันที่ 13 ก.พ. ที่ผ่านมาอีกด้วย.
กำลังโหลดความคิดเห็น