xs
xsm
sm
md
lg

ปชป.จวกรัฐดึง UN จุ้นไทยแค่ยืดอายุตัวเอง ฉะ “ปู” ปล่อยสาวกแบ่งแยกชาติชักศึกเข้าบ้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (แฟ้มภาพ)
รองหัวหน้าประชาธิปัตย์ จวกรัฐบาลดึงสหประชาชาติแทรกแซงการเมืองไทย ยันสถานการณ์ยังไม่มิคสัญญี เชื่อหวังสร้างความชอบธรรมยืดอายุตัวเอง ประจานไทยรัฐล้มเหลว ฉะ “ยิ่งลักษณ์” ปล่อยสาวกแบ่งแยกชาติ-ตั้งกองกำลัง-ชักศึกเข้าบ้าน “จุฤทธิ์” จี้พรรคร่วมถอนตัว กดดัน “ปู” เจรจา กปปส.ผ่านทีวี “มัลลิกา” คาดเป้าหมายที่แท้คือนิรโทษกรรมตัวเอง







วันนี้ (2 มี.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลพยายามดึงนายบัน คีมูน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติเข้ามาแก้ปัญหาความขัดแย้งภายในประเทศไทยแต่ถูกคัดค้านจากหลายฝ่ายว่า พรรคไม่เห็นด้วยที่จะมีการดึงเลขาฯ ยูเอ็นเข้ามาแก้ปัญหาความขัดแย้ง เพราะสถานการณ์ในไทยไม่ถึงขั้นมิคสัญญีที่รัฐบาลจะใช้เวทีสหประชาชาติเข้ามาแก้ปัญหา เพราะฉะนั้นการดึงสหประชาชาติเข้ามาเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมและไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง

นายองอาจกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อมีเสียงไม่เห็นด้วยจำนวนมาก รัฐบาลโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็มีการปรับแผนเชิญเลขาธิการสหประชาชาติให้มาดูข้อเท็จจริงในประเทศไทยแทน ซึ่งถือเป็นความพยายามที่มีจุดมุ่งหมาย 3 ประการไม่ได้มุ่งแก้ปัญหาชาติ คือ 1. ใช้การมาเมืองไทยของเลขาสหประชาชาติในการสร้างความชอบธรรมโฆษณาชวนเชื่อให้รัฐบาล 2. สร้างกระแสให้นานาชาติยอมรับว่าเป็นรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมายเพราะกำลังถูกกระบวนการยุติธรรมดำเนินการว่าเป็นรัฐบาลมิชอบด้วยกฎหมาย จึงหวังใช้เลขาสหประชาชาติมารองรับว่าเป็นรัฐบาลที่ถูกต้อง และ 3. เพื่อสนับสนุนความอยู่รอดของรัฐบาลและวาทกรรมจะรักษาประชาธิปไตย พร้อมตายในสนามประชาธิปไตย เพื่อให้เห็นว่าเลขาฯ สหประชาติสนับสนุนการคงอยู่ของรัฐบาลเพื่อรักษาประชาธิปไตย

“รัฐบาลหวังเพียงยืดอายุให้ยาวนานที่สุดไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ แก่บ้านเมือง นอกจากนี้ยังกลายเป็นการประจานประเทศไทยว่า “ล้มเหลว” ทั้งที่นายกฯ คือผู้ทำให้เกิดรัฐบาลล้มเหลว ไม่ใช่ประเทศไทยล้มเหลว แต่ถ้าเลขาฯ สหประชาชาติเดินทางมาจะทำให้สังคมโลกเข้าใจว่าประเทศไทยล้มเหลว จึงขอให้แยกแยะให้ออกเพราจะทำให้เกิดภาพประเทศไทยล้มเหลวขึ้นในสายตานานาชาติ และใคร่ครวญในเรื่องนี้ใหม่”

นายองอาจยังกล่าวถึงกรณีมวลชนที่สนับสนุนรัฐบาลดำเนินการไม่ถูกต้องหลายประการแต่ น.ส.ยิ่งลักษณยังมีพฤติกรรมยักคิ้วหลิ่วตาปล่อยให้มวลชนที่สนับสนุนตัวเองออกมามีพฤติกรรมไม่เหมาะสมหลายประการ ดังนี้ 1. ประกาศแบ่งแยกประเทศไทย โดยหลังมีคำประกาศ นายกรัฐมนตรีไม่เคยพูดว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อผู้ที่มีแนวคิดขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมายอาญาหลายมาตรา แต่นายกฯ ปล่อยให้มีการนำเสนอแนวคิดแบ่งแยกประเทศไทยในรูปแปบบต่างๆ อย่างต่อเนื่อง 2. มีการจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธอย่างเปิดเผยจากมวลชนและแกนนำรัฐบาล ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นในประเทศไทย เพราะควรมีกองกำลังติดอาวุธเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐ ทหารหรือตำรวจ หรือที่กฎหมายกำหนดให้เท่านั้น 3. พยายามปลุกปั่นให้มีการใช้ความรุนแรงระหว่างคนไทย เผยแพร่ตามโซเชียลออนไลน์ กระจายความคิดผ่านวิทยุชุมชนโดยเฉพาะภาคอีสานและเหนืออย่างต่อเนื่อง 4. พยายามชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน ดึงเลขาสหประชาชาติเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในประเทศไทย

“น.ส.ยิ่งลักษณ์ ปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น จะอ้างว่าเป็นแค่เรื่องวาทกรรมหรือการพูดเล่นไม่ได้ เพราะเมื่อมีการเผยแพร่ต่อสาธารณชนนั้นหมายถึงความผิดสำเร็จแล้ว นายกฯ ในฐานะผู้นำประเทศควรสั่งดำเนินการระงับยับยั้ง จัดการตามกฎหมายกับบุคคลที่กระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญ ผิดกฎหมาย และไม่ถูกต้องชอบธรรม จึงหวังให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์หยุดยักคิ้วหลิ่วตาทำให้ชาติเสียหาย แต่ต้องรักษาความสงบสุขเรียบร้อยให้เกิดในบ้านเมือง” นายองอาจกล่าว

ด้านนายจุฤทธิ์ ลักษณวิศิษฏ์ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลด้วยการให้รัฐมนตรีในสังกัดลาออก แสดงเจตจำนงให้มีการปฏิรูปประเทศไทยก่อน เนื่องจาก 1. รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ล้มเหลวในการบริหารประเทศ แก้ปัญหาความขัดแย้งไม่ได้ 2. ไม่ยอมเจรจาแต่มีการยุยงส่งเสริมให้ใช้ความรุนแรง 3. รัฐบาลยิ่งลักษณ์ และว่าที่ ส.ส.ไม่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพราะจะมีการสถาปนาตัวเองเป็น ส.ส.โดยไม่มีการปฏิญาณตนต่อพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 4. ไม่ยอมรับองค์กรอิสระ ทั้ง ป.ป.ช. ศาลรัฐธรรมนูญ และ กกต.และ 5. พรรคเพื่อไทยและสมาชิกพรรคบางคนกำลังมีพฤติกรรมแบ่งแยกประเทศ ใช้ความรุนแรง ด้วยการสนับสนุนจากนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย

“ขอให้พรรคร่วมรัฐบาลได้ทบทวนถอนตัวออกจากรัฐบาล เพื่อสะท้อนว่าไม่สนับสนุนให้มีการแบ่งแยกประเทศ กดดันให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เจรจาผ่านทีวีกับ กปปส.เพื่อให้ประชาชนทราบถึงปัญหา และยังเป็นการแสดงว่าพรรคร่วมรัฐบาลเคารพการทำงานขององค์กรอิสระ รวมทั้งแสดงให้เห็นว่าการเลือกตั้งที่พรรคเพื่อไทยผลักดันไม่ประสบความสำเร็จ เปิดสภาไม่ได้ เป็น ส.ส.ไม่ได้ จึงอยากให้พรรคร่วมรัฐบาลพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบเพื่อเลิกเป็นเบี้ยให่้กองทัพทรราชย์แบ่งแยกประเทศไทย ไม่เช่นนั้นพรรคร่วมรัฐบาลจะกลายเป็นหมากตัวหนึงที่พรรคเพื่อไทยใช้เป็นเครื่องมือในการแบ่งแยกประเทศไทย” นายจุฤทธิ์กล่าว

ขณะที่ น.ส.มัลลิา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องไปยัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้ตัดสินใจเข้าสู่วงเจรจาตามคำท้าของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ผ่านการถ่ายทอดสดทีวีพูล ให้ประชาชนรับทราบเหตุผลของตนเองและทาง กปปส. อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจะไม่มีการเจรจาออกอากาศทางโทรทัศน์หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่เลิกมีธงของพี่ชายอยู่เบื้องหลัง เพราะเงื่อนไขที่แท้จริงของรัฐบาลคือการนิรโทษกรรมทุกคดีโดยเฉพาะคดีทุจริตของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อขอเงินที่ถูกยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาทคืน ขณะเดียวกัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็กำลังจะถูกดำเนินคดีจากกรณีทุจริตจำนำข้าว จึงขอให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์สารภาพความจริงกับประชาชน ซึ่งการเจรจาออกทีวีจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะทำให้นายกฯ มีทางลง

“นายกฯ ไม่ควรตั้งเงื่อนไขใดๆ เพื่อต่อรองทั้งสิ้น เพราะมีแค่ 3 ทาง คือ ติดคุก หนีไปต่างประเทศ หรือไปรักษาตัว จึงไม่มีศักยภาพใดๆ ที่จะเจรจาเพราะมีชนักติดหลังทั้งจำนำข้าว แก้รัฐธรรมนูญ การกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง การเลือกตั้งที่ส่อว่าจะโมฆะ และยังมีการให้การเท็จในชั้นศาลคดีซุกหุ้น รวมทั้งยังมีการใช้งบฉุกเฉินโดยไม่ผ่านความเห็นของ กกต. ขณะเดียวกันก็รู้เห็นเป็นใจให้มีการแบ่งแยกประเทศท้าทายความมั่นคงของประเทศ จึงหนีไม่พ้นความรับผิดชอบเหล่านี้ไปได้” น.ส.มัลลิกากล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น