นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีรัฐบาลพยายามดึง นายบันคีมูน เลขาสหประชาชาติ เข้ามาแก้ปัญหาความขัดแย้งภายในประเทศไทย แต่ถูกคัดค้านจากหลายฝ่ายว่า พรรคไม่เห็นด้วยที่จะมีการดึงเลขาฯยูเอ็น เข้ามาแก้ปัญหาความขัดแย้ง เพราะสถานการณ์ในไทยไม่ถึงขั้นมิกสัญญี ที่รัฐบาลจะใช้เวทีสหประชาชาติเข้ามาแก้ปัญหา เพราะฉะนั้น การดึงสหประชาชาติเข้ามาเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม และไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตามเมื่อมีเสียงไม่เห็นด้วยจำนวนมาก รัฐบาลโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็มีการปรับแผน เชิญเลขาฯสหประชาชาติ ให้มาดูข้อเท็จจริงในประเทศไทยแทน ซึ่งถือเป็นความพยายามที่มีจุดมุ่งหมาย 3 ประการ ไม่ได้มุ่งแก้ปัญหาชาติ คือ
1. ใช้การมาเมืองไทยของเลขาฯสหประชาชาติในการสร้างความชอบธรรมโฆษณาชวนเชื่อให้รัฐบาล
2. สร้างกระแสให้นานาชาติยอมรับว่าเป็นรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะกำลังถูกกระบวนการยุติธรรมดำเนินการว่าเป็นรัฐบาลมิชอบด้วยกฎหมาย จึงหวังใช้เลขาฯ สหประชาชาติ มารับรองว่าเป็นรัฐบาลที่ถูกต้อง
3. เพื่อสนับสนุนความอยู่รอดของรัฐบาล และวาทกรรม จะรักษาประชาธิปไตย พร้อมตายในสนามประชาธิปไตย เพื่อให้เห็นว่าเลขาฯสหประชาติสนับสนุนการคงอยู่ของรัฐบาล เพื่อรักษาประชาธิปไตย
"รัฐบาลหวังเพียงยืดอายุให้ยาวนานที่สุด ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ กับบ้านเมือง นอกจากนี้ยังกลายเป็นการประจานประเทศไทยว่า “ล้มเหลว”ทั้งที่ นายกฯ คือผู้ทำให้เกิดรัฐบาลล้มเหลว ไม่ใช่ประเทศไทยล้มเหลว แต่ถ้าเลขาฯสหประชาชาติ เดินทางมาจะทำให้สังคมโลกเข้าใจว่า ประเทศไทยล้มเหลว จึงขอให้ แยกแยะให้ออก เพราะจะทำให้เกิดภาพประเทศไทยล้มเหลวขึ้นในสายตานานาชาติ และขอให้ใคร่ครวญในเรื่องนี้ใหม่" นายองอาจ กล่าว
** จี้พรรคร่วมถอนตัวจากรัฐบาล
ด้านนายจุฤทธิ์ ลักษณวิศิษฏ์ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล ด้วยการให้รัฐมนตรีในสังกัดลาออก แสดงเจตจำนงค์ ให้มีการปฏิรูปประเทศไทยก่อน เนื่องจาก
1. รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ล้มเหลวในการบริหารประเทศ แก้ปัญหาความขัดแย้งไม่ได้
2 .ไม่ยอมเจรจาแต่มีการยุยงส่งเสริมให้ใช้ความรุนแรง
3. รัฐบาลยิ่งลักษณ์ และว่าที่ส.ส.ไม่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพราะจะมีการสถาปนาตัวเองเป็น ส.ส.โดยไม่มีการปฏิญาณตนต่อพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
4. ไม่ยอมรับองค์กรอิสระ ทั้ง ป.ป.ช. ศาลรัฐธรรมนูญ และ กกต
5. พรรคเพื่อไทยและสมาชิกพรรคบางคน กำลังมีพฤติกรรมแบ่งแยกประเทศ ใช้ความรุนแรงด้วยการสนับสนุนจาก นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
"ขอให้พรรคร่วมรัฐบาลได้ทบทวน ถอนตัวออกจากรัฐบาลเพื่อสะท้อนว่า ไม่สนับสนุนให้มีการแบ่งแยกประเทศ กดดันให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เจรจาผ่านทีวีกับ กปปส. เพื่อให้ประชาชนทราบถึงปัญหา และยังเป็นการแสดงว่า พรรคร่วมรัฐบาลเคารพการทำงานขององค์กรอิสระ รวมทั้งแสดงให้เห็นว่า การเลือกตั้งที่พรรคเพื่อไทย ผลักดันไม่ประสบความสำเร็จ เปิดสภาไม่ได้ เป็น ส.ส.ไม่ได้ จึงอยากให้พรรคร่วมรัฐบาล พิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ เพื่อเลิกเป็นเบี้ยให่้กองทัพทรราชแบ่งแยกประเทศไทย ไม่เช่นนั้นพรรคร่วมรัฐบาล จะกลายเป็นหมากตัวหนึ่ง ที่พรรคเพื่อไทยใช้เป็นเครื่องมือในการแบ่งแยกประเทศไทย" นายจุฤทธิ์ กล่าว
ขณะที่ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องไปยังน.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้ตัดสินใจเข้าสู่วงเจรจา ตามคำท้าของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาฯ กปปส. ผ่านการถ่ายทอดสดทีวีพูล ให้ประชาชนรับทราบเหตุผลของตนเอง และทาง กปปส.
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจะไม่มีการเจรจาออนแอร์ หากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่เลิกมีธงของพี่ชายอยู่เบื้องหลัง เพราะเงื่อนไขที่แท้จริงของรัฐบาล คือการนิรโทษกรรมทุกคดี โดยเฉพาะคดีทุจริตของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อขอเงินที่ถูกยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านคืน ขณะเดีัยวกัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็กำลังจะถูกดำเนินคดีจากกรณีทุจริตจำนำข้าว จึงขอให่้น.ส.ยิ่งลักษณ์ สารภาพความจริงกับประชาชน ซึ่งการเจรจาออกทีวีจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะทำให้นายกฯ มีทางลง
"นายกฯไม่ควรตั้งเงื่อนไขใดๆ เพื่อต่อรองทั้งสิ้น เพราะมีแค่สามทางคือ ติดคุก หนีไปต่างประเทศ หรือไปรักษาตัว จึงไม่มีศักยภาพใดๆ ที่จะเจรจาเพราะมีชนักติดหลัง ทั้งจำนำข้าว แก้รัฐธรรมนูญ การกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง การเลือกตั้งที่ส่อว่าจะโมฆะ และยังมีการให้การเท็จในชั้นศาลคดีซุกหุ้น รวมทั้งยังมีการใช้งบฉุกเฉินโดยไม่ผ่านความเห็นของ ก.ก.ต. ขณะเดียวกันก๋็รู้เห็นเป็นใจให้มีการแบ่งแยกประเทศท้าทายความมั่นคงของประเทศ จึงหนีไม่พ้นความรับ ผิดชอบเหล่านี้ไปได้" รองโฆษกปชป. กล่าว
อย่างไรก็ตามเมื่อมีเสียงไม่เห็นด้วยจำนวนมาก รัฐบาลโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็มีการปรับแผน เชิญเลขาฯสหประชาชาติ ให้มาดูข้อเท็จจริงในประเทศไทยแทน ซึ่งถือเป็นความพยายามที่มีจุดมุ่งหมาย 3 ประการ ไม่ได้มุ่งแก้ปัญหาชาติ คือ
1. ใช้การมาเมืองไทยของเลขาฯสหประชาชาติในการสร้างความชอบธรรมโฆษณาชวนเชื่อให้รัฐบาล
2. สร้างกระแสให้นานาชาติยอมรับว่าเป็นรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะกำลังถูกกระบวนการยุติธรรมดำเนินการว่าเป็นรัฐบาลมิชอบด้วยกฎหมาย จึงหวังใช้เลขาฯ สหประชาชาติ มารับรองว่าเป็นรัฐบาลที่ถูกต้อง
3. เพื่อสนับสนุนความอยู่รอดของรัฐบาล และวาทกรรม จะรักษาประชาธิปไตย พร้อมตายในสนามประชาธิปไตย เพื่อให้เห็นว่าเลขาฯสหประชาติสนับสนุนการคงอยู่ของรัฐบาล เพื่อรักษาประชาธิปไตย
"รัฐบาลหวังเพียงยืดอายุให้ยาวนานที่สุด ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ กับบ้านเมือง นอกจากนี้ยังกลายเป็นการประจานประเทศไทยว่า “ล้มเหลว”ทั้งที่ นายกฯ คือผู้ทำให้เกิดรัฐบาลล้มเหลว ไม่ใช่ประเทศไทยล้มเหลว แต่ถ้าเลขาฯสหประชาชาติ เดินทางมาจะทำให้สังคมโลกเข้าใจว่า ประเทศไทยล้มเหลว จึงขอให้ แยกแยะให้ออก เพราะจะทำให้เกิดภาพประเทศไทยล้มเหลวขึ้นในสายตานานาชาติ และขอให้ใคร่ครวญในเรื่องนี้ใหม่" นายองอาจ กล่าว
** จี้พรรคร่วมถอนตัวจากรัฐบาล
ด้านนายจุฤทธิ์ ลักษณวิศิษฏ์ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล ด้วยการให้รัฐมนตรีในสังกัดลาออก แสดงเจตจำนงค์ ให้มีการปฏิรูปประเทศไทยก่อน เนื่องจาก
1. รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ล้มเหลวในการบริหารประเทศ แก้ปัญหาความขัดแย้งไม่ได้
2 .ไม่ยอมเจรจาแต่มีการยุยงส่งเสริมให้ใช้ความรุนแรง
3. รัฐบาลยิ่งลักษณ์ และว่าที่ส.ส.ไม่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพราะจะมีการสถาปนาตัวเองเป็น ส.ส.โดยไม่มีการปฏิญาณตนต่อพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
4. ไม่ยอมรับองค์กรอิสระ ทั้ง ป.ป.ช. ศาลรัฐธรรมนูญ และ กกต
5. พรรคเพื่อไทยและสมาชิกพรรคบางคน กำลังมีพฤติกรรมแบ่งแยกประเทศ ใช้ความรุนแรงด้วยการสนับสนุนจาก นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
"ขอให้พรรคร่วมรัฐบาลได้ทบทวน ถอนตัวออกจากรัฐบาลเพื่อสะท้อนว่า ไม่สนับสนุนให้มีการแบ่งแยกประเทศ กดดันให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เจรจาผ่านทีวีกับ กปปส. เพื่อให้ประชาชนทราบถึงปัญหา และยังเป็นการแสดงว่า พรรคร่วมรัฐบาลเคารพการทำงานขององค์กรอิสระ รวมทั้งแสดงให้เห็นว่า การเลือกตั้งที่พรรคเพื่อไทย ผลักดันไม่ประสบความสำเร็จ เปิดสภาไม่ได้ เป็น ส.ส.ไม่ได้ จึงอยากให้พรรคร่วมรัฐบาล พิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ เพื่อเลิกเป็นเบี้ยให่้กองทัพทรราชแบ่งแยกประเทศไทย ไม่เช่นนั้นพรรคร่วมรัฐบาล จะกลายเป็นหมากตัวหนึ่ง ที่พรรคเพื่อไทยใช้เป็นเครื่องมือในการแบ่งแยกประเทศไทย" นายจุฤทธิ์ กล่าว
ขณะที่ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องไปยังน.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้ตัดสินใจเข้าสู่วงเจรจา ตามคำท้าของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาฯ กปปส. ผ่านการถ่ายทอดสดทีวีพูล ให้ประชาชนรับทราบเหตุผลของตนเอง และทาง กปปส.
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจะไม่มีการเจรจาออนแอร์ หากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่เลิกมีธงของพี่ชายอยู่เบื้องหลัง เพราะเงื่อนไขที่แท้จริงของรัฐบาล คือการนิรโทษกรรมทุกคดี โดยเฉพาะคดีทุจริตของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อขอเงินที่ถูกยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านคืน ขณะเดีัยวกัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็กำลังจะถูกดำเนินคดีจากกรณีทุจริตจำนำข้าว จึงขอให่้น.ส.ยิ่งลักษณ์ สารภาพความจริงกับประชาชน ซึ่งการเจรจาออกทีวีจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะทำให้นายกฯ มีทางลง
"นายกฯไม่ควรตั้งเงื่อนไขใดๆ เพื่อต่อรองทั้งสิ้น เพราะมีแค่สามทางคือ ติดคุก หนีไปต่างประเทศ หรือไปรักษาตัว จึงไม่มีศักยภาพใดๆ ที่จะเจรจาเพราะมีชนักติดหลัง ทั้งจำนำข้าว แก้รัฐธรรมนูญ การกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง การเลือกตั้งที่ส่อว่าจะโมฆะ และยังมีการให้การเท็จในชั้นศาลคดีซุกหุ้น รวมทั้งยังมีการใช้งบฉุกเฉินโดยไม่ผ่านความเห็นของ ก.ก.ต. ขณะเดียวกันก๋็รู้เห็นเป็นใจให้มีการแบ่งแยกประเทศท้าทายความมั่นคงของประเทศ จึงหนีไม่พ้นความรับ ผิดชอบเหล่านี้ไปได้" รองโฆษกปชป. กล่าว