ผบ.ทบ.เผยถกนายกฯ แค่แผนงาน โครงการในช่วงรัฐบาลรักษาการ แต่ยังพูดถึงสถานการณ์บ้านเมือง แย้มเจ้าตัวบอกรอกระบวนการยุติธรรม วอนทุกฝ่ายระวังการเคลื่อนไหว บอกอย่าเพิ่งด่วนสรุปทหารเอี่ยวยิง “ขวัญชัย” เรื่องอยู่ที่นายทหารรัฐธรรมนูญ ติง ศรส.เปิดชื่อท่อน้ำเลี้ยงจะเอาเป็นเอาตายไม่ได้ โลกสวยวอนให้อภัยวันวาเลนไทน์ ประณามโจรใต้ฆ่าเด็ก-สตรี-พระ ตามระเบียบ
วันนี้ (13 ก.พ.) ที่สโมสรทหารบก เมื่อเวลา 17.00 น.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวถึงผลการหารือร่วมกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ว่า ในที่ประชุมได้หารือหลายเรื่อง ซึ่งเป็นการหารือร่วมกันเดือนละ 1 ครั้ง ในเรื่องการปฏิบัติงานของกระทรวงกลาโหม ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการทำงาน แผนงาน โครงการ การดำเนินการต่างๆ งบประมาณ และหลักการที่อยู่ในการตรวจสอบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งเป็นเรื่องที่กระทรวงกลาโหมต้องดำเนินการ โดยเฉพาะเป็นช่วงของรัฐบาลรักษาการ ทางนายกรัฐมนตรีจึงได้นัดหมายหารือเพื่อพูดคุยกันว่าเราจะทำอะไรได้แค่ไหน อย่างไร เพราะไม่ว่า สถานการณ์จะเป็นอย่างไร กองทัพ และงานของประเทศชาติต้องเดินหน้า ส่วนเรื่องที่เป็นปัญหาก็แก้ไขกันต่อไป อย่านำทุกอย่างพันกันไปหมด ส่วนปัญหาในส่วนงานของกองทัพทั้งหมดต้องแก้ไขได้ เพราะเป็นงานในหน้าที่และพันธกิจ
“ในที่ประชุมยังได้มีการหารือถึงสถานการณ์บ้านเมืองว่า ทำอย่างไรจึงจะทำให้บ้านเมืองคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น สรุปคือ ต้องเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม โดยนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ต้องรอคอยกระบวนการยุติธรรม ระหว่างนี้อยากให้ทุกฝ่ายระมัดระวังในการเคลื่อนไหวมากที่สุด ทั้งผู้ประท้วง เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ เพื่อลดความรุนแรงที่เกิดขึ้นให้ได้ ถ้าประชาชนฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดถืออาวุธออกมาเริ่มใช้อาวุธต่อสู้กัน และตอบโต้ จะเป็นอันตราย ทำให้สถานการณ์บานปลาย และเสียหายทั้งหมด เจ้าหน้าที่จะไม่สามารถระงับได้ เพราะไม่ได้ถืออาวุธ จะตำหนิเจ้าหน้าที่ไม่ได้ เพราะถ้าเจ้าหน้าที่ถืออาวุธก็จะบาดเจ็บสูญเสียกันมากกว่านี้ เจ้าหน้าที่ออกไปทำงานเพราะห่วงประชาชนทุกฝ่าย” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีที่ตำรวจออกหมายจับทหารสังกัดกองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) คดีลอบยิงนายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดรฯ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องกระบวนการยุติธรรม เมื่อออกหมายจับก็ต้องไปต่อสู้กัน อย่าเพิ่งไปกล่าวกันจนเสียหาย เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ทางหน่วยพร้อมให้ความร่วมมือ ซึ่งเราได้ให้ทหารพระธรรมนูญ เข้าไปดูแลกำลังพล ทุกอย่างต้องว่าไปตามกฎหมาย แต่มีบางสื่อนำคดีไปเกี่ยวโยงกับการเมือง หรือบอกว่า ผบ.ทบ.ปล่อยให้กำลังพลถูกทำร้ายนั้น คงไม่ใช่ แต่เป็นเรื่องของกฎหมาย ส่วนเรื่องคดีอยู่ในขั้นตอนของนายทหารพระธรรมนูญดำเนินการนัดแนะกับตำรวจ เพื่อนำกำลังพลไปมอบตัว ซึ่งเรามีระเบียบการควบคุมตัวอยู่ อย่าพูดเรื่องคดีตอนนี้ เพราะเด็กจะเสียขวัญและทำให้เสียรูปคดี ยืนยันว่า ตนไม่เคยปกป้องลูกน้อง ถ้าผิดก็ต้องว่ากันไปและดูแลครอบครัวเขา ส่วนเขาจะทำหรือไม่ต้องไปว่ากันตามหลักฐาน วันนี้อยู่กันได้ด้วยกระบวนการ ไม่ใช่ศาลเตี้ย
“ผมต้องยืนหยัดในข้อกฎหมายทั้งหมด การที่เราจะทำอะไรสักอย่าง ถ้าเราไม่ยึดถือกฎหมายเลย มันจะแก้ไขอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น ทำให้จะมีแต่ปัญหาเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ ผมให้ความเป็นธรรมกับกำลังพลทุกคน ขอให้ระมัดระวังในการให้ข่าว เพราะจะเป็นการขยายความขัดแย้ง การใช้อาวุธต่อกันไม่ถูกต้อง ทุกพวกทุกฝ่ายที่ออกมาเคลื่อนไหวในขณะนี้ ผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินทั้งหมด ยิ่งมีการใช้อาวุธก็ยิ่งผิด ส่วนใครจะใช้ก่อนหรือหลัง ต้องไปตรวจสอบกัน ถ้าวันนี้ไม่กลัวกฎหมาย วันหน้าก็อย่ากลัว เพราะกฎหมายมีอายุความนาน 20 ปี” ผบ.ทบ.กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตั้งแต่มีการชุมนุมมา 100 กว่าวัน ตนพูดเสมอว่า เราต้องระมัดระวังในการปฏิบัติงาน ถ้าวันนี้ทหารไม่ออกมาดูแล สถานการณ์คงไม่อยู่ถึงวันนี้ ขณะนี้ทหารอยู่ทุกพื้นที่ แต่เราไม่ติดอาวุธ เอาแต่ตัวและชีวิตของเราไปป้องกัน และเป็นกึ่งกลาง เมื่อทหารและตำรวจเข้าไปดำเนินการ ทุกฝ่ายต้องหยุด และอย่าทำร้ายต่อกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เรามีการต่อสู้กันหลายวิธี และที่มีบางสื่อเขียนถึงตน ซึ่งตนอดทนมาตลอด สี่อต้องเสนอข้อเท็จจริง อย่าทำให้ความขัดแย้งเกิดขึ้น เพราะจะขยายความขัดแย้งไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเราใช้กฎหมายอาจจะต้องใช้เวลา เหน็ดเหนื่อยกัน แต่ท้ายสุดถ้าตัดสินด้วยกฎหมายก็จะยอมรับกันได้
เมื่อถามว่า สงสัยหรือไม่ว่าเหตุใดทหารต้องไปยิงนายขวัญชัยนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า คงตอบแทนไม่ได้ และอย่าให้ตอบ สิ่งสำคัญคือ อย่าไปสร้างความขัดแย้ง หรือความเกลียดชังกันให้มาก ทุกคนรักหน่วย และชื่อเสียง แต่คิดว่ากำลังพลยังไม่ได้ทำอะไรผิด ยังเชื่อมั่นเขาอยู่ เพราะเขาทำงานเป็นมืออาชีพมาโดยตลอด คือดูแลประชาชน ตามกฎหมาย ทุกสมัยทุกรัฐบาล ถ้าเราทำไม่เป็นมาตรฐาน กองทัพก็อยู่ไม่ได้ ตนไม่ได้ทำงานรอเกษียณ และทำงานมาตลอด ไม่เคยลดการทำงานลง ทำงานอย่างสม่ำเสมอ ถ้ารอเกษียณคงไม่ต้องทำอะไร อยู่เฉยๆ
เมื่อถามถึงกรณีที่ศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) เปิดเผยชื่อท่อน้ำเลี้ยงสนับสนุนกลุ่มกปปส. พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า หากมีหลักฐานก็ว่ามา ไม่เห็นเป็นอะไร เป็นเรื่องของการพูดคุยกัน คิดว่าจะเอาเป็นเอาตายกันไม่ได้ เป็นเรื่องของความคิดเห็น และอะไรต่างๆ ที่ไม่มีความชัดเจน อย่าไปพูดให้เขาเสียหาย เพราะเราเป็นคนไทยด้วยกัน จะผิดหรือถูกต้องว่ากันตามกระบวนการ ข้อสำคัญอยากขอร้องว่า ทั้งหมดที่มีปัญหาอยู่ทุกวันนี้ เพราะคนไทยทั้งสิ้น หากไม่แก้ปัญหาด้วยกันเอง จะเอาเป็นเอาตายกันทุกคนคงไม่ได้ ตนไม่ได้เข้าข้างใดทั้งสิ้น ไม่ได้อยู่ข้างชอบธรรม หรือไม่ชอบธรรม บทบาทของทหารมีอยู่แล้ว
เมื่อถามถึงกรณีที่จะใกล้ถึงวันแห่งความรัก พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า โลกทุกวันนี้มีความรักกันให้น้อยลง ส่วนใหญ่เป็นความรักระหว่างหนุ่มสาว แต่ความรักที่ต้องมีให้กัน คือ ความรักที่มีต่อชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์ รวมถึงความรักที่เอื้อเฟื้อแบ่งปันให้กับคนในสังคมที่ต้องมีให้มากขึ้น จะต้องให้ความรักกับประเทศชาติ สังคม และญาติพี่น้อง ที่สำคัญคือการให้อภัย เพราะความรักคือการให้อภัย ถ้าคุณรักใครสักคน หรือ รักมากๆ คุณจะต้องให้อภัยเขาได้ สำหรับตนรักทุกๆ คนอย่างเท่าเทียมกัน เพราะตนไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร
ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า สถานการณ์ภายในประเทศมีปัญหาทำให้ผู้ก่อความไม่สงบใช้ความได้เปรียบเพื่อก่อความรุนแรง เพราะคิดว่าเจ้าหน้าที่จะไปสนใจงานด้านอื่น รวมถึงภาระของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นจึงใช้โอกาสเพื่อเร่งความรุนแรงให้เกิดขึ้น ขอยืนยันว่า กองทัพยังใช้กำลังทุกภาคส่วนเหมือนเดิมไม่ได้มีการเอาทหารในพื้นที่ภาคใต้มาปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ กทม.ซึ่งวันนี้กำลังเร่งเรื่องความขัดแย้งระหว่างไทยพุทธกับมุสลิม โดยศาสนาหนึ่งอาจจะมีมากกว่าอีกศาสนาหนึ่ง โดยมุ่งหวังให้ศาสนาอีกศาสนาหนึ่งลดน้อยลงหรือไม่มีเลย เพื่อที่จะให้เหลือเพียงศาสนาเดียวเพื่อนำพาไปสู่จุดมุ่งหมายสุดท้ายของกลุ่มก่อความไม่สงบ แต่ตนคิดว่าคงไปไม่ถึงจุดนั้น เพราะเรามีการทำงานทั้ง 9 ยุทธศาสตร์ ส่วนการปฏิบัติการยุทธวิธีเชิงรุกเราก็ได้ดำเนินการมาตลอด แต่ไม่อยากให้เป็นข่าว โดยเฉพาะในเรื่องการปะทะกัน ซึ่งการจับกุมดำเนินคดีจะส่งผลกระทบในวงกว้างเพราะจะมีคนไปฉกฉวยโอกาสนี้ว่ารัฐใช้ความรุนแรงในการปราบปราม ดังนั้นจะต้องระมัดระวัง และต้องเข้าใจว่าสื่อมีผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย ถ้าเอาภาพรุนแรงไปเผยแพร่และเขียนคำบรรยายตีความหมายไปอีกแบบหนึ่งจะส่งผลกระทบมาก
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงกรณีที่ผู้ก่อความไม่สงบลอบยิงพระในขณะออกบิณฑบาต พร้อมเจ้าหน้าที่ที่ไปดูแลความปลอดภัยจนเสียชีวิตว่า อยากให้ไปถามคนทำว่าหัวใจทำด้วยอะไรในการใช้ความรุนแรงกับเจ้าหน้าที่ขณะที่เจ้าหน้าที่ไม่มีทางต่อสู้ รวมถึงการดูแลครูเด็ก แม้กระทั่งผู้หญิง ผู้บริสุทธิ์ที่สัญจรไปมาก็ฆ่าทิ้งหมด แบบนี้มันไม่ใช่มนุษย์ที่พูดไม่ได้ดูถูก แต่ถ้าเป็นนักรบเหมือนที่ทหารทำอยู่ในวันนี้จะต้องเป็นนักรบทีเปิดเผยและแสดงกำลังกันออกมาและมารบกัน แต่ทหารไม่กลัวอยู่แล้ว แต่ปัญหาคือเขาใช้วิธีไม่ใช่ลูกผู้ชายด้วยการลอบทำร้าย โดยเฉพาะเด็กและผู้หญิง และป้ายความผิดมาให้กับเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตราย ที่ผ่านมาเรามีการจับกุมแหล่งซ่องสุ่มก็เจอเสื้อผ้าคล้ายชุดทหารเพื่อไปยิ่งไทยพุทธ และไทยมุสลิม และมาโทษว่าเจ้าหน้าที่เป็นคนกระทำ ซึ่งตนได้กำชับว่าอย่าให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ซึ่งตนยินดีให้สอบสวนทุกคดี ซึ่งเรายืนยันว่าการแก้ไขปัญหาด้วยความรุนแรงมันไม่มีวันจบ ส่วนกรณีที่มีการใส่ร้ายเจ้าหน้าที่ว่าการยิงเด็ก 3 คน เป็นฝีมือเจ้าหน้าที่นั้น ใครจะพูดอะไรก็ได้ แต่ตนยืนยันเสมอว่าผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าใจว่าถ้าไปทำอย่างนั้นจะทำให้การแก้ไขปัญหายากมากขึ้น ซึ่งตนก็ไม่เห็นประโยชน์ว่าจะไปทำทำไม
“การยิงเด็ก และผู้หญิง เราจะไปสั่งใครได้ และเขาจะมีคนจิตใจที่ยิงคนได้หรือแบบนั้น ยิงเด็กตัวเล็กๆ ผมว่าผมทำไม่ได้ และผมก็คิดว่าทหารของผมทั้งกองทัพก็ทำไม่ได้ ผมมีความเชื่อมั่นอย่างนั้น ต้องไปเปรียบเทียบดูถ้าเป็นอีกฝ่ายหนึ่งทำยิงครูพระที่เห็นๆ กันอยู่ แล้วจะเชื่อใครระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้ก่อความไม่สงบ อย่างไรก็ตาม ผมอยากเรียกร้องให้ออกมาพูดคุย จะเป็นทางลับหรือเปิดเผย ซึ่งผมยืนยันว่าประเทศไทยแบ่งแยกดินแดนไม่ได้ ส่วนการเปลี่ยนตัวแกนนำในการเจรจาจะส่งผลกระทบต่อการเจรจาหรือไม่นั้น ผมมองว่าเมื่อปลดคนเก่า หรือวางมือลงคนใหม่ก็จะต้องเข้ามา ซึ่งเป็นเรื่องของเขา ดังนั้นจะให้ใครมาเป็นตัวแทนเป็นเรื่องของประเทศเพื่อนบ้านที่จะจัดมา ถ้าหากพูดกันแล้วไม่เกิดความก้าวหน้าให้ไปหาคนใหม่มาก็ให้ดูต่อไปอย่าเพิ่งไปสรุปว่าได้ผลหรือไม่ได้ผล” พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ