รองโฆษก ทบ.เผย ผบ.ทบ.สั่งทุกหน่วยเตรียมพร้อมช่วยคลี่คลายสถานการณ์ จดบันทึกเหตุใช้เป็นหลักฐานทางกฎหมาย จับตาดูเลือกตั้งโมฆะหรือไม่ ย้ำต้องเคารพคำวินิจฉัยศาล ให้ทหารเข้าเคลียร์หลักสี่ประมวลเหตุ ขณะที่ให้หน่วยงานเฝ้าระวังเว็บหมิ่นสถาบัน ประสานกรมพระธรรมนูญตรวจสอบ กม. ลั่นตามจี้คดี “สมศักดิ์ เจียมฯ” ถึงที่สุด แย้มใช้มาตรการสังคมร่วมกดดัน
วันนี้ (7 ก.พ.) ที่กองบัญชาการกองทัพบก เมื่อเวลา 15.30 น. พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก แถลงผลการประชุมผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงของกองทัพบก (นขต.ทบ.) ประจำเดือน ก.พ. โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกเป็นประธานการประชุมว่า ในที่ประชุม พล.อ.ประยุทธ์กล่าวชื่นชมผู้บังคับหน่วยและกำลังพลทุกคนว่าได้ทำหน้าที่และทำงานตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายเป็นอย่างดี ทำให้กองทัพบกยังคงเป็นที่เชื่อมั่นศรัทธาของสังคม พร้อมกำชับดูแลกำลังพลให้มีความปลอดภัยในการปฏิบัติงานในทุกภารกิจ โดยเฉพาะสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ที่มีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งทุกหน่วยจะต้องติดตามข้อมูลข่าวสารและความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เกิดขึ้น รวมถึงช่วยกันสร้างความเข้าใจว่าความคิดเห็นแตกต่างกันได้ แต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรง และต้องแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี ส่วนกองทัพบกจะยังคงทำหน้าที่ดูแล สร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนทุกฝ่าย รวมถึงการป้องปรามและหยุดยั้งการใช้ความรุนแรง มิให้มีการปลุกเร้าให้เกิดความเกลียดชังกัน สิ่งสำคัญในขณะนี้คือ การสร้างบรรยากาศของความรักความสามัคคีและลดความขัดแย้ง สร้างความเข้าใจในทุกมิติ โดยให้ทุกหน่วยเข้าไปช่วยสนับสนุนให้เกิดบรรยากาศดังกล่าว
“ผบ.ทบ.มอบให้หน่วยทหารในทุกพื้นที่เตรียมความพร้อมเข้าช่วยคลี่คลายสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น และให้มีการจัดทำบันทึกเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ เพื่อใช้เป็นหลักฐานทางกฎหมายและเป็นข้อมูลเผยแพร่ให้สังคมได้รับทราบข้อเท็จจริง เพื่อป้องปรามไม่ให้มีการใช้ความรุนแรงต่อกันของทุกฝ่าย นอกจากนี้ ในที่ประชุม ทางกรมกิจการพลเรือนได้สรุปผลการสนับสนุนคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อวันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมา ในภาพรวม ซึ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทหารทุกหน่วยปฏิบัติงานตามนโยบายที่ได้กำหนดไว้ คือไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับหน่วยเลือกตั้ง และไม่ได้ใช้สถานที่ของทหารเป็นจุดเลือกตั้ง ซึ่งหากมีการเลือกตั้งใครต่อไป กองทัพบกจะยึดแนวทางเดิม แต่หากมีการร้องขอก็จะมีการประสานงานและพิจารณาต่อไป นอกจากนี้ ทางผู้บัญชาการทหารบกสั่งให้ผู้บังคับหน่วยติดตามว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมาจะโมฆะหรือไม่ เพราะทุกอย่างจะต้องยึดกฎหมาย และหากผลคำตัดสินของศาลออกมาเป็นเช่นไรทุกคนก็จะต้องยึดคำตัดสินและเคารพอำนาจศาล ตลอดจนคำวินิจฉัยของกระบวนการยุติธรรม เพราะจะทำให้สังคมมีหลักยึด และผู้บังคับหน่วยไปศึกษารายละเอียดเรื่องคำวินิจฉัยของศาล และเรียกร้องให้สังคมเคารพ” ผบ.ทบ.กล่าว
พ.อ.หญิง ศิริจันทร์กล่าวว่า ส่วนเหตุการณ์ปะทะกันที่บริเวณแยกหลักสี่นั้น ทางผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งการให้หน่วยที่รับผิดชอบ และผู้อยู่ในเหตุการณ์บันทึกว่า มีเหตุอะไรเกิดขึ้นบ้าง เพื่อเป็นข้อมูลให้หน่วยอื่นๆ ได้เรียนรู้และศึกษา โดย ผบ.ทบ.ให้ดำเนินการเช่นนี้ในทุกพื้นที่มีเหตุรุนแรง ส่วนการปรับกำลังทหารหลังกลุ่มผู้ชุมนุมมีการยุบเวทีไปนั้น จะมีการปรับกำลังใช้ตามความเหมาะสมของเหตุการณ์ อย่างไรก็ตาม ผบ.ทบ.ได้ชื่นชมทหารว่า มีความตั้งใจทำงานในสภาวะที่มีความกดดัน และทำให้เกิดความสูญเสียน้อย ซึ่ง ผบ.ทบ.มองว่า การปฏิบัติงานจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับกองทัพบกว่า ทหารสามารถดูแลชาติบ้านเมืองได้ ส่วนกรณีที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ ในฐานะที่ปรึกษา ศรส. เตรียมจะเอาผิดกับอดีตผู้บังคับบัญชาที่ไปตั้งโต๊ะหารือ เพื่อหาทางออกให้กับประเทศไทยนั้น เรื่องดังกล่าว ผบ.ทบ.ชี้แจงไปแล้วว่า เป็นความห่วงใยของผู้ใหญ่ที่อยากจะช่วยหาทางออก ซึ่งการหารือดังกล่าวไม่ได้มีอิทธิพล หรืออำนาจให้ใครดำเนินการ เนื่องจากทหารทั้งหมดเกษียณไปแล้ว และการพูดคุยกันไม่เกี่ยวข้องกับ ผบ.ทบ.
พ.อ.หญิง ศิริจันทร์กล่าวต่อว่า ในวันที่ 7, 15, 23 ก.พ. 57 และวันที่ 3 มี.ค. 57 ทางกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) จะมีการเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์เพื่อไปทำการฝึกเป็นจำนวนมาก โดยจะมีการเคลื่อนย้ายจาก จ.สระบุรี ไปยัง จ.ลพบุรี ซึ่งจะมีการเคลื่อนย้ายรถถังวันละประมาณ 20-30 คัน จึงแจ้งมาเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนไม่ให้แตกตื่น และเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้นำไปบิดเบือนสร้างประเด็นทางการเมืองของกลุ่มผู้ไม่หวังดี
ด้าน พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ที่นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ และคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความหมิ่นเหม่ และล่วงละเมิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ผ่านทางสังคมออนไลน์ว่า ตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 มาตรา 8 บัญญัติสรุปได้ว่ากระทรวงกลาโหมมีอำนาจหน้าที่พิทักษ์รักษาเอกราช และความมั่นคง รวมทั้งปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์มิให้ผู้ใดมาล่วงละเมิด ทำให้เสื่อมเสียพระบรมเดชานุภาพ เพราะฉะนั้น การกระทำดังกล่าวมีผลกระทบต่อสภาพจิตใจของกำลังพลทุกนาย รวมทั้งประชาชนผู้มีความจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์ โดยที่ผ่านมาพระมหากษัตริย์ทรงมีคุโณปการต่อประเทศชาติ และพสกนิกรไทยมาอย่างยาวนาน
“การแสดงความคิดเห็นตามปกติโดยส่วนตัว หรือทางวิชาการอย่างบริสุทธิ์ เป็นสิทธิและเสรีภาพของประชาชนภายใต้กรอบของกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ แต่กรณีการแสดงความคิดเห็นที่มิบังควร และหมิ่นเหม่ดังกล่าวนั้นทางกระทรวงกลาโหมกำลังพลทุกนาย และประชาชนผู้ที่มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ไม่สบายใจและมีความกังวลเป็นอย่างยิ่ง ที่ผ่านมากระทรวงกลาโหมและกองทัพไทยไม่ได้นิ่งนอนใจต่อเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าว โดยได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังและติดตามเว็บไซต์ที่เข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ร่วมกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ต่อกรณีดังกล่าว พร้อมทั้งได้ประสานกรมพระธรรมนูญตรวจสอบรายละเอียดด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับข้อความที่ล่วงละเมิด เพื่อสนับสนุนแนวทางการดำเนินการทางด้านกฎหมายให้กับกองทัพบก อย่างไรก็ตามขอให้พี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนได้ร่วมกันปกป้อง และพิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้คงอยู่กับประเทศไทยสืบต่อไป” พ.อ.ธนาธิปกล่าว
พ.อ.หญิง ศิริจันทร์กล่าวว่า ผู้บัญชาการทหารบกมีความเป็นห่วงในเรื่องการรับและเผยแพร่ข้อมูลทางสื่อสังคมออนไลน์ ที่อาจสร้างความสับสนและประชาชนอาจตกเป็นเครื่องมือของผู้ที่ไม่หวังดี โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน ได้สั่งการให้ทุกกองทัพภาคติดตามตรวจสอบการกระทำหรือการแสดงความคิดเห็นที่เข้าข่ายล่วงละเมิด เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายอย่างรอบคอบ โดยจะดำเนินการควบคู่ไปกับมาตรการทางสังคม ปฏิเสธพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง พร้อมติดตามความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง เพราะเรื่องดังกล่าวส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม อีกทั้งกองทัพเป็นส่วนราชการที่มีหน้าที่ปกป้องและเทิดทูนสถาบันโดยตรง การดำเนินการเรื่องนี้ขอให้ประชาชนได้มั่นใจว่ากองทัพบกจะติดตามและดำเนินการอย่างถึงที่สุด
“กองทัพบกจะติดตามและดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อหยุดการกระทำที่ก่อให้เกิดกระทบต่อความรู้สึกของประชาชน โดยจะมีการส่งข้อมูลไปให้เจ้าหน้าที่และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการต่อ และให้กรมพระธรรมนูญได้ทำการประสานงานกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมติดตามความก้าวหน้าของคดี ทุกเรื่องที่กองทัพบกส่งเรื่องไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้าสู่กระบวนการของกฎหมาย โดยจะทำควบคู่กับการใช้มาตรการทางสังคมในการกดดันกับบุคคลที่มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและทำความเข้าใจกับสังคมว่าประเทศไทยจะต้องปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเท่านั้น ทั้งนี้กองทัพบกได้เริ่มทำมาตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งมีบางเรื่องสามารถเอาผิดและดำเนินการไปบ้างแล้ว ส่วนบางเรื่องก็อยู่ระหว่างการไต่สวนของกระบวนการยุติธรรม บางคดีก็อยู่ในขั้นตอนการขอพระราชทานอภัยโทษ” พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ระบุ
วันนี้ (7 ก.พ.) ที่กองบัญชาการกองทัพบก เมื่อเวลา 15.30 น. พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก แถลงผลการประชุมผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงของกองทัพบก (นขต.ทบ.) ประจำเดือน ก.พ. โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกเป็นประธานการประชุมว่า ในที่ประชุม พล.อ.ประยุทธ์กล่าวชื่นชมผู้บังคับหน่วยและกำลังพลทุกคนว่าได้ทำหน้าที่และทำงานตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายเป็นอย่างดี ทำให้กองทัพบกยังคงเป็นที่เชื่อมั่นศรัทธาของสังคม พร้อมกำชับดูแลกำลังพลให้มีความปลอดภัยในการปฏิบัติงานในทุกภารกิจ โดยเฉพาะสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ที่มีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งทุกหน่วยจะต้องติดตามข้อมูลข่าวสารและความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เกิดขึ้น รวมถึงช่วยกันสร้างความเข้าใจว่าความคิดเห็นแตกต่างกันได้ แต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรง และต้องแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี ส่วนกองทัพบกจะยังคงทำหน้าที่ดูแล สร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนทุกฝ่าย รวมถึงการป้องปรามและหยุดยั้งการใช้ความรุนแรง มิให้มีการปลุกเร้าให้เกิดความเกลียดชังกัน สิ่งสำคัญในขณะนี้คือ การสร้างบรรยากาศของความรักความสามัคคีและลดความขัดแย้ง สร้างความเข้าใจในทุกมิติ โดยให้ทุกหน่วยเข้าไปช่วยสนับสนุนให้เกิดบรรยากาศดังกล่าว
“ผบ.ทบ.มอบให้หน่วยทหารในทุกพื้นที่เตรียมความพร้อมเข้าช่วยคลี่คลายสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น และให้มีการจัดทำบันทึกเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ เพื่อใช้เป็นหลักฐานทางกฎหมายและเป็นข้อมูลเผยแพร่ให้สังคมได้รับทราบข้อเท็จจริง เพื่อป้องปรามไม่ให้มีการใช้ความรุนแรงต่อกันของทุกฝ่าย นอกจากนี้ ในที่ประชุม ทางกรมกิจการพลเรือนได้สรุปผลการสนับสนุนคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อวันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมา ในภาพรวม ซึ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทหารทุกหน่วยปฏิบัติงานตามนโยบายที่ได้กำหนดไว้ คือไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับหน่วยเลือกตั้ง และไม่ได้ใช้สถานที่ของทหารเป็นจุดเลือกตั้ง ซึ่งหากมีการเลือกตั้งใครต่อไป กองทัพบกจะยึดแนวทางเดิม แต่หากมีการร้องขอก็จะมีการประสานงานและพิจารณาต่อไป นอกจากนี้ ทางผู้บัญชาการทหารบกสั่งให้ผู้บังคับหน่วยติดตามว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมาจะโมฆะหรือไม่ เพราะทุกอย่างจะต้องยึดกฎหมาย และหากผลคำตัดสินของศาลออกมาเป็นเช่นไรทุกคนก็จะต้องยึดคำตัดสินและเคารพอำนาจศาล ตลอดจนคำวินิจฉัยของกระบวนการยุติธรรม เพราะจะทำให้สังคมมีหลักยึด และผู้บังคับหน่วยไปศึกษารายละเอียดเรื่องคำวินิจฉัยของศาล และเรียกร้องให้สังคมเคารพ” ผบ.ทบ.กล่าว
พ.อ.หญิง ศิริจันทร์กล่าวว่า ส่วนเหตุการณ์ปะทะกันที่บริเวณแยกหลักสี่นั้น ทางผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งการให้หน่วยที่รับผิดชอบ และผู้อยู่ในเหตุการณ์บันทึกว่า มีเหตุอะไรเกิดขึ้นบ้าง เพื่อเป็นข้อมูลให้หน่วยอื่นๆ ได้เรียนรู้และศึกษา โดย ผบ.ทบ.ให้ดำเนินการเช่นนี้ในทุกพื้นที่มีเหตุรุนแรง ส่วนการปรับกำลังทหารหลังกลุ่มผู้ชุมนุมมีการยุบเวทีไปนั้น จะมีการปรับกำลังใช้ตามความเหมาะสมของเหตุการณ์ อย่างไรก็ตาม ผบ.ทบ.ได้ชื่นชมทหารว่า มีความตั้งใจทำงานในสภาวะที่มีความกดดัน และทำให้เกิดความสูญเสียน้อย ซึ่ง ผบ.ทบ.มองว่า การปฏิบัติงานจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับกองทัพบกว่า ทหารสามารถดูแลชาติบ้านเมืองได้ ส่วนกรณีที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ ในฐานะที่ปรึกษา ศรส. เตรียมจะเอาผิดกับอดีตผู้บังคับบัญชาที่ไปตั้งโต๊ะหารือ เพื่อหาทางออกให้กับประเทศไทยนั้น เรื่องดังกล่าว ผบ.ทบ.ชี้แจงไปแล้วว่า เป็นความห่วงใยของผู้ใหญ่ที่อยากจะช่วยหาทางออก ซึ่งการหารือดังกล่าวไม่ได้มีอิทธิพล หรืออำนาจให้ใครดำเนินการ เนื่องจากทหารทั้งหมดเกษียณไปแล้ว และการพูดคุยกันไม่เกี่ยวข้องกับ ผบ.ทบ.
พ.อ.หญิง ศิริจันทร์กล่าวต่อว่า ในวันที่ 7, 15, 23 ก.พ. 57 และวันที่ 3 มี.ค. 57 ทางกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) จะมีการเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์เพื่อไปทำการฝึกเป็นจำนวนมาก โดยจะมีการเคลื่อนย้ายจาก จ.สระบุรี ไปยัง จ.ลพบุรี ซึ่งจะมีการเคลื่อนย้ายรถถังวันละประมาณ 20-30 คัน จึงแจ้งมาเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนไม่ให้แตกตื่น และเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้นำไปบิดเบือนสร้างประเด็นทางการเมืองของกลุ่มผู้ไม่หวังดี
ด้าน พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ที่นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ และคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความหมิ่นเหม่ และล่วงละเมิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ผ่านทางสังคมออนไลน์ว่า ตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 มาตรา 8 บัญญัติสรุปได้ว่ากระทรวงกลาโหมมีอำนาจหน้าที่พิทักษ์รักษาเอกราช และความมั่นคง รวมทั้งปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์มิให้ผู้ใดมาล่วงละเมิด ทำให้เสื่อมเสียพระบรมเดชานุภาพ เพราะฉะนั้น การกระทำดังกล่าวมีผลกระทบต่อสภาพจิตใจของกำลังพลทุกนาย รวมทั้งประชาชนผู้มีความจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์ โดยที่ผ่านมาพระมหากษัตริย์ทรงมีคุโณปการต่อประเทศชาติ และพสกนิกรไทยมาอย่างยาวนาน
“การแสดงความคิดเห็นตามปกติโดยส่วนตัว หรือทางวิชาการอย่างบริสุทธิ์ เป็นสิทธิและเสรีภาพของประชาชนภายใต้กรอบของกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ แต่กรณีการแสดงความคิดเห็นที่มิบังควร และหมิ่นเหม่ดังกล่าวนั้นทางกระทรวงกลาโหมกำลังพลทุกนาย และประชาชนผู้ที่มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ไม่สบายใจและมีความกังวลเป็นอย่างยิ่ง ที่ผ่านมากระทรวงกลาโหมและกองทัพไทยไม่ได้นิ่งนอนใจต่อเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าว โดยได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังและติดตามเว็บไซต์ที่เข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ร่วมกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ต่อกรณีดังกล่าว พร้อมทั้งได้ประสานกรมพระธรรมนูญตรวจสอบรายละเอียดด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับข้อความที่ล่วงละเมิด เพื่อสนับสนุนแนวทางการดำเนินการทางด้านกฎหมายให้กับกองทัพบก อย่างไรก็ตามขอให้พี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนได้ร่วมกันปกป้อง และพิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้คงอยู่กับประเทศไทยสืบต่อไป” พ.อ.ธนาธิปกล่าว
พ.อ.หญิง ศิริจันทร์กล่าวว่า ผู้บัญชาการทหารบกมีความเป็นห่วงในเรื่องการรับและเผยแพร่ข้อมูลทางสื่อสังคมออนไลน์ ที่อาจสร้างความสับสนและประชาชนอาจตกเป็นเครื่องมือของผู้ที่ไม่หวังดี โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน ได้สั่งการให้ทุกกองทัพภาคติดตามตรวจสอบการกระทำหรือการแสดงความคิดเห็นที่เข้าข่ายล่วงละเมิด เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายอย่างรอบคอบ โดยจะดำเนินการควบคู่ไปกับมาตรการทางสังคม ปฏิเสธพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง พร้อมติดตามความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง เพราะเรื่องดังกล่าวส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม อีกทั้งกองทัพเป็นส่วนราชการที่มีหน้าที่ปกป้องและเทิดทูนสถาบันโดยตรง การดำเนินการเรื่องนี้ขอให้ประชาชนได้มั่นใจว่ากองทัพบกจะติดตามและดำเนินการอย่างถึงที่สุด
“กองทัพบกจะติดตามและดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อหยุดการกระทำที่ก่อให้เกิดกระทบต่อความรู้สึกของประชาชน โดยจะมีการส่งข้อมูลไปให้เจ้าหน้าที่และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการต่อ และให้กรมพระธรรมนูญได้ทำการประสานงานกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมติดตามความก้าวหน้าของคดี ทุกเรื่องที่กองทัพบกส่งเรื่องไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้าสู่กระบวนการของกฎหมาย โดยจะทำควบคู่กับการใช้มาตรการทางสังคมในการกดดันกับบุคคลที่มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและทำความเข้าใจกับสังคมว่าประเทศไทยจะต้องปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเท่านั้น ทั้งนี้กองทัพบกได้เริ่มทำมาตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งมีบางเรื่องสามารถเอาผิดและดำเนินการไปบ้างแล้ว ส่วนบางเรื่องก็อยู่ระหว่างการไต่สวนของกระบวนการยุติธรรม บางคดีก็อยู่ในขั้นตอนการขอพระราชทานอภัยโทษ” พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ระบุ