“อภิสิทธิ์” เฉ่ง “ปู” เป่าหูเลขาฯยูเอ็นใส่ร้ายผู้ชุมนุมติดยาเสพติด ซ่องสุมอาวุธ เชื่อรัฐบาลดึงนานาชาติเป็นแนวร่วม ทำเป็นระบบผ่านกระบวนการล็อบบี้ของ “นช.แม้ว” เพื่อเป็นเกราะกำบังให้ตัวเอง เพราะคาดการณ์จะเกิดอะไรขึ้นบางอย่าง เผยทำหนังสือแจงต่างชาติแล้วรัฐบาลให้ข้อมูลเท็จ แถมยังข่มขู่ผู้ชุมนุม เพื่อครอบครองอำนาจ ดักคอ “ยิ่งลักษณ์” ยืนยัน “บันคีมูน” ไม่ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะไม่ต้องการใช้กำลัง ถ้าหากประกาศใช้แสดงว่าต้องการใช้กำลังหรือไม่ ตอบไม่ได้รัฐบาลสร้างเงื่อนไขให้เกิดรัฐประหาร เพราะเข้าตาจน เพราะไม่มีกติกา แต่ถ้าถูกยึดทรัพย์ก็ไม่เป็นประโยชน์กับรัฐบาล
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงบทบาทของรัฐบาลที่พยายามดึงต่างชาติเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทยว่า ในส่วนของพรรคก็พยายามทำความเข้าใจชี้แจงข้อเท็จจริงกับต่างประเทศมากขึ้น และตนเพิ่งทราบว่าการสนทนาระหว่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี กับ นายบันคีมูน เลขาธิการสหประชาชาติ รอบแรกก่อนที่จะคุยกับตน และนายกรัฐมนตรีอีกรอบนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ บอกกับเลขาฯสหประชาชาติ ว่าผู้ชุมนุมติดยาเสพติด มีอาวุธ และลากองค์กรอิสระเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย พยายามให้ข้อมูลผิด และมีทีมงานล็อบบีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีทำงานเต็มที่ ทั้งการที่มีบทวิเคราะห์สื่อต่างชาติ และนักการเมืองต่างประเทศ ล้วนแต่สอดคล้องกันเป็นกระบวนการเชื่อมโยงได้ถึงบริษัทล็อบบี
ทั้งนี้ตนได้มีโอกาสพูดคุยกับทูต และตัวแทนระหว่างประเทศ เพื่อช่วยทำความเข้าใจสถานการณ์การเมืองไทยถึงเหตุผลที่ประชาชนออกมาต่อต้านรัฐบาล ทำให้การนำเสนอข่าวสารในต่างชาติมีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน และการละเมิดสิทธิมนุษยชน
“เชื่อว่ารัฐบาลมีความพยายามที่จะดึงนานาชาติมาไว้เป็นแนวร่วม เพราะคาดการณ์ว่าอาจมีอะไรขึ้นต่อไป จึงเอานานาชาติมาเป็นเกราะกำบังไว้ก่อน ต้องขอบคุณที่ได้เอกสารจากกระทรวงการต่างประเทศว่านายกฯคุยอะไรกับเลขาธิการสหประชาชาติบ้าง ทำให้ผมมีโอกาสชี้แจง ถ้าไม่ได้เอกสารดังกล่าวและผมไม่ได้ชี้แจงสหประชาชาติอาจใช้ข้อมูลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นหลักไปแล้ว”
อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่าต่างประเทศต้องระมัดระวังในเรื่องท่าทีของรัฐบาล และอยากใหัคนไทยเข้าใจว่าอย่าไปเข้าใจต่างชาติผิดหมดด้วย เพราะว่าบางครั้งเวลา นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศ แถลงก็พยายามชี้นำว่าต่างประเทศสนับสนุนรัฐบาลนั้น ความจริงเพียงแค่เป็นการพูดถึงหลักการกว้างๆ เท่านั้นว่า อย่าให้มีความรุนแรงและให้อิงกับประชาธิปไตย แต่ รมว.ต่างประเทศ เข้าใจว่าต่างประเทศหนุนทุกกอย่างที่รัฐบาลต้องการจะทำ และผู้สื่อข่าวต่างประเทศก็เข้าใจสถานการณ์มากขึ้น
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ มีความเป็นห่วงสถานการณ์รุนแรงที่มีต่อผู้ชุมนุม แต่นายกรัฐมนตรีเพิ่งมาแสดงท่าทีหลังเกิดเหตุหลายวัน จึงต้องการให้ต่างประเทศได้รับรู้ในแง่มุมนี้ด้วย ยิ่งนายกรัฐมนตรีบอกต่างประเทศว่า ที่ชุมนุมมีอาวุธ ยาเสพติด ก็ยิ่งจำเป็นต้องชี้แจงว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำกับผู้ชุมนุมไม่ใช่จากผู้ชุมนุม ซึ่งจะได้ทำหนังสือยื่นไปถึงองค์กรนานาชาติที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
ผู้สื่อข่าวถามว่า การดึงนานาชาติเข้ามาเช่นนี้ เป็นการปูทางเรื่องรัฐบาลพลัดถิ่นหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ทราบว่าจะถึงขั้นนั้นหรือไม่ แต่รัฐบาลพยายามดิ้นรน เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ยืนยันอย่างเดียวว่าต้องเดินหน้าไม่มีการพิจารณาในเรื่องเลือกตั้ง หรือรักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเด็ดขาด ก็ต้องดูเพราะเป็นแนวทางการเผชิญหน้าเต็มที่
อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ปัจจุบันยังตอบยากว่ามีเงื่อนไขที่จะทำให้เกิดรัฐบาลพลัดถิ่นได้หรือไม่ เพราะสถานการณ์ยังนิ่งอยู่ รัฐบาลปักหลักยืนยันเดินหน้าเลือกตั้ง แต่มวลชนก็ไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนแรงลง แต่ยังหวังว่าจะไม่เกิดสงครามกลางเมืองเพราะแกนนำผู้ชุมนุมยืนยันว่าจะไม่ใช้ความรุนแรงเพราะจะสูญเสียความชอบธรรม โดยในขณะนี้ฝ่ายผู้ชุมนุมถูกโจมตีเพียงข้างเดียว แต่แกนนำก็ยืนยันหนักแน่นว่าจะไม่ยอมให้ถูกยั่วยุใช้ความรุนแรงหรืออาวุธ
“การตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น ผมยังไม่มองไกลไปถึงขั้นนั้น แต่ก็มีความพยายามมาโดยตลอดว่ารัฐบาลต้องเป็นตัวแทนของความชอบธรรม จึงหาแนวร่วม น่าจะอยู่ในขั้นนี้มากกว่า”
ส่วนการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้น นายอภิสิทธิ์ คิดว่ารัฐบาลคงกำลังพิจารณาอยู่ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ก็พูดชัดว่าสถานการณ์ไม่เหมือนปี 53 อย่างไรก็ตาม และความรุนแรงที่เกิดขึ้นก็เป็นการกระทำกับผู้ชุมนุม ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเร่งจับกุมคลี่คลายคดี ศอ.รส.ต้องหามาตรการคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน และนายกฯ เขียนถึงเลขาสหประชาชาติว่า ไม่ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะไม่คิดที่จะใช้กำลัง หากมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แสดงว่าต้องการใช้กำลังใช่หรือไม่ ไม่เช่นนั้นก็ถือว่าพูดเท็จกับเลขาฯสหประชาชาติซ้ำอีก
นายอภิสิทธิ์ ยังเรียกร้องให้ทหารมีบทบาทในการปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยประชาชนมากขึ้น เพราะมีศักยภาพและเป็นที่ไว้วางใจของประชาชนที่จะช่วยอำนวยให้เกิดความปลอดภัยได้มากขึ้น แม้ว่ารัฐบาลจะไม่สั่งการกองทัพก็สามารถดำเนินการได้เอง เหมือนกรณีที่รามคำแหงที่ในขณะนั้นรัฐบาลวางเฉย ดังนั้นในขณะนี้มีเหตุรุนแรงเกิดกับผู้ชุมนุมแล้วก็ต้องป้องกันไม่ให้ลุกลามบานปลาย โดยผู้บังคับบัญชาสามารถตัดสินใจได้ รวมถึง ศอ.รส.ต้องแสดงท่าทีให้ชัดเจนว่าจะดูแลความปลอดภัยอย่างไร ซึ่งตนคิดว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นเพราะต้องการข่มขู่ฝ่ายชุมนุมหรือประชาชน
ผู้สื่อข่าวถามว่า การวิเคราะห์ว่ารัฐบาลกำลังสร้างเงื่อนไขให้เกิดรัฐประหาร เพราะกำลังจนแต้มทางการเมืองมองอย่างไร นาอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตอบยาก เพราะถ้ารัฐประหารแล้วก็ไม่มีกติกา แต่ถ้ารัฐประหารแล้วยึดทรัพย์รัฐบาลก็คงไม่เป็นประโยชน์กับรัฐบาล