“สุริยะใส” นำมวลมหาประชาชนไว้อาลัย “วสุ สุฉันทบุตร” ผู้ชุมนุมที่เสียชีวิตวานนี้ ยกเป็นวีรชนประชาธิปไตย “สุเทพ” ขึ้นเวทีวอนอย่าอาฆาตตำรวจ เพราะทำตามหน้าที่ และเตือนสติตำรวจที่ปลุกระดมตอบโต้ ยกเหตุการณ์ปี 53 ตำรวจเสียชีวิต 2 นาย กังขาฝีมือชายชุดดำ เพราะขึ้นไปบนตึกกระทรวงแรงงาน ขอบคุณ กกต.ที่เสนอรัฐบาลเลื่อนเลือกตั้ง เตรียมมอบเงิน 1 ล้านจากกองทุน กปปส. พร้อมดำเนินคดีฝ่ายรัฐบาล
วันนี้ (27 ธ.ค.) ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย นายสุริยะใส กตะศิลา แกนนำคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. ได้ขึ้นเวทีพร้อมกับคณะกรรมการแกนนำ กปปส. เพื่อประกอบพิธีไว้อาลัยแก่นายวสุ สุฉันทบุตร หรือไนน์ วัย 30 ปี ผู้เสียชีวิตจากเหตุปะทะระหว่างผู้ชุมนุมเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. ที่ผ่านมา
นายสุริยะใส กล่าวว่า ขอไว้อาลัยให้กับผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความรุนแรง ที่คิดว่าไม่ว่าฝ่ายใดก็ตาม ไม่ปรารถนา และไม่ต้องการ โดยเฉพาะการชุมนุมที่ยึดมั่นแนวทางอหิงสาของ กปปส. ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา ยืนยันชัดเจนว่าพวกเราตระหนักกับความรุนแรงทุกรูปแบบ แต่เมื่อบางเรื่อง เราอาจจะควบคุมกันได้ เราอาจจะวิงวอนขอร้องกันได้ แต่การกระทำกับฝ่ายตรงกันข้าม ก็ยากที่พวกเราจะวิงวอนขอร้อง ความสูญเสียที่เกิดขึ้นในวันนี้ ไม่ว่ากับพวกเราหรือกับเจ้าหน้าที่ก็ตาม ก็ถือเป็นอุทาหรณ์ ตนเป็นตัวแทนคณะแกนนำ กปปส. ขอกล่าวไว้อาลัยและสดุดีวีรกรรมของนายวสุ
นายวสุอายุ 30 ปี จบการศึกษาปริญญาโทจากประเทศออสเตรเลีย เสียชีวิตที่ศูนย์เยาวชนไทย ญี่ปุ่น ดินแดง เมื่อเวลาประมาณ 14.00 น. โดยกระสุนจริง ระหว่างเข้าร่วมชุมนุมกับมวลมหาประชาชน เพื่อที่จะเรียกร้องอย่างสันติ คัดค้านการเลือกตั้งที่ไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม เพื่อให้การปฏิรูปการเมืองเกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้ง นายวสุเป็นบุคคลที่รักความเป็นธรรม รักความถูกต้อง อยากเห็นความบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นความยุติธรรมในสังคม และการเมืองก็ตาม มาร่วมชุมนุมกับมวลมหาประชาชน แม้นไม่ต่อเนื่อง แต่ทุกครั้งที่มีการนัดหมายใหญ่ นายวสุก็เข้าร่วมอย่างมุ่งมั่น
“ณ ที่ตรงนี้ไม่ว่าหลายๆ ท่านจะรู้จักคุณวสุเป็นการส่วนตัวหรือไม่ก็ตาม แต่พวกเราที่อยู่ตรงนี้และอยู่ทางบ้านสัมผัสได้ว่าหัวใจและดวงวิญญาณคุณวสุ เหมือนเราทุกคนที่อยู่ตรงนี้ โดยเฉพาะหัวจิตหัวใจที่รักความเป็นธรรม รักความถูกต้อง ฉะนั้น จิตใจที่กล้าหาญ เสียสละ ยืนหยัดต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมทางการเมือง สมควรที่พวกเราจะเรียกเขาว่า วีรชนประชาธิปไตย และเราขอประกาศร่วมกันว่าพวกเราจะทำหน้าที่สืบสานจิตใจที่เสียสละ กล้าหาญ รักความเป็นธรรมของคุณวสุ และเราขอประกาศมั่นว่า การเสียชีวิตเพื่อแลกมาซึ่งความถูกต้อง ความเป็นธรรมของคุณวสุครั้งนี้จะไม่สูญเปล่า” นายสุริยะใส กล่าว
หลังจากนั้น นายสุริยะใสประกาศให้ผู้ชุมนุมยืนสงบนิ่งเพื่อไว้อาลัยแก่นายวสุ ก่อนที่จะให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และแกนนำทุกคนร่วมกันจุดเทียนและวางดอกไม้เพื่อไยว้อาลัยแก่นายวสุ รวมทั้งผู้ชุมนุมคนอื่นๆ
ต่อมาเวลา 20.17 น. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ขึ้นเวทีโดยกล่าวว่า ขอคารวะต่อดวงวิญญาณบริสุทธิ์ของนายวสุ ที่ได้เสียสละชีวิตเพื่อชาติ เพื่อแผ่นดิน ตนติดตามข่าวของนายวสุตั้งแต่เมื่อทราบว่าถูกยิงเมื่อเวลา 14.00 น. เมื่อวานนี้ ทราบแต่เพียงว่าถูกยิงที่ท้อง ก็ไม่นึกว่าจะเสียชีวิต ตนได้มอบหมายให้นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ เป็นตัวแทนของแกนนำ กปปส. ไปติดตาม ไปเยี่ยมผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ และเมื่อเช้าได้รับแจ้งว่านายวสุเสียชีวิต เพราะบาดแผลที่ถูกยิงบริเวณลิ้นปี่ กระสุนตัดเส้นเลือดใหญ่ และเสียเลือดมาก เมื่อตอนประมาณ 04.00 น. วันนี้ เป็นวีรชนในหัวใจของเราทุกคน ตนไม่เคยรู้จักนายวสุมาก่อน และไม่มีโอกาสได้พบในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ได้ทราบว่านายวสุได้มาร่วมเวทีต่อสู้ของมวลมหาชนมาโดยตลอด ตั้งแต่ที่เวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เวทีของ คปท. ที่สะพานชมัยมรุเชฐ และก็มาร่วมที่เวทีราชดำเนินเป็นประจำ เป็นผู้ที่มีจิตใจช่วยทำทุกอย่าง ขนน้ำ ขนอาหาร เหมือนกับอาสาสมัครทั้งหลาย
ตนได้ทราบว่าวันนี้หลังจากที่นายวสุเสียชีวิตแล้ว ตำรวจจาก สน.พญาไท ได้ไปแจ้งกับ รพ.พระมงกุฎเกล้า ว่า จะนำศพไปทำการชันสูตร แต่ว่าก็ไม่ยอม ตำรวจก็จะอายัดศพไว้ ตนได้สอบถามไปที่ รพ.พระมงกุฎเกล้า ผู้อำนวยการ (ผอ.) โรงพยาบาล ก็กล่าวว่าการชันสูตรศพนั้น แพทย์ที่ รพ.พระมงกุฎเกล้าสามารถทำได้ ไม่ต้องให้ตำรวจนำไปชันสูตรที่ รพ.ตำรวจ ตนจึงได้โทรศัพท์แจ้งผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ช่วยบอกกับ ผอ.รพ.พระมงกุฎเกล้า ทำการชันสูตรศพด้วย คุณแม่จะได้สบายใจกว่าไปชันสูตรที่ รพ.ตำรวจ จึงขอกราบขอบคุณ ผบ.ทบ. และ ผอ.รพ.พระมงกุฎฯ แทนคุณแม่และพี่น้องมวลมหาประชาชน ณ ที่นี้
ตนขอปฏิญาณต่อหน้าดวงวิญญาณของนายวสุว่า พวกเรามวลมหาประชาชนจะไม่ให้การเสียชีวิตของนายวสุสูญเปล่า เราจะสืบสานปณิธานขจัดระบอบทักษิณให้หมดจากแผ่นดินไทยให้ได้
นายสุเทพ กล่าวต่อว่า ด้วยความอาลัย ด้วยความเศร้าเสียใจของเรา ที่ผู้ร่วมอุดมการณ์ของเรา คือนายวสุต้องเสียชีวิตไป แต่ขออย่าได้โกธรเคือง หรือมีใจอาฆาตต่อเจ้าหน้าที่ เพราะมีเจ้าหน้าที่เสียชีวิต และขอไว้อาลัยให้กับตำรวจที่เสียชีวิต คือ ด.ต.ณรงค์ ปิติสิทธิ์ เพราะเขาก็ทำหน้าที่ตามหน้าที่ และไม่เคยมีเรื่องโกธรเคืองกับเรามาก่อนเลย ขอให้ดวงวิญญาณไปสู่ที่สุข สงบ ในสัมปรายภพ
ทั้งนี้ นอกจากผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์เมื่อวานแล้ว ยังมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนมาก เฉพาะที่พักรักษาอยู่ในโรงพยาบาลขณะนี้มีทั้งหมด 36 คน คนที่เจ็บหนักซึ่งเป็นพี่น้องเรา ร่วมอุดมการณ์ต่อสู้กับเรา ก็คือนายประจวบ ชูชาติ อายุ 46 ปี เป็นชาว จ.นครศรีธรรมราช ที่มาร่วมชุมนุมเวทีราชดำเนินทุกวัน เมื่อวานถูกของแข็ง ตามที่หมอบอก ไม่ทราบว่าเป็นเพราะถูกยิงที่แก๊สน้ำตา หรือถูกกระบอง แต่ว่าถูกที่กะโหลกศีรษะแตก สมองบวม เลือดออกในสมอง แพทย์ที่ รพ.รามาธิบดี ก็พยายามช่วยเจาะเอาเลือดออก ขณะนี้ยังไม่ได้สติ มีภรรยาและบุตรสาวเฝ้าดูอยู่ เป็นคนที่เราเป็นห่วงมาก
อีกคนหนึ่ง คือนายธีระวิทย์ เจริญวิทย์ ชาว จ.ตรัง ถูกยิงที่ศรีษะ กระสุนฝังเนื้อสมอง อายุเพียง 22 ปี แพทย์ รพ.ราชวิถีช่วยผ่าตัดแล้ว ยังอยู่ที่ห้องไอซียู มีบิดามาเฝ้า คนที่สาม เป็นอาสาสมัครพยาบาลหญิง คือ น.ส.โสภา ศรีชาย เป็นชาว จ.ชุมพร อายุ 35 ปี ถูกยิงด้วยกระสุนปืน กระสุนทะลุปอด เดิมไปที่ รพ.พญาไท 2 ยังไม่ได้ผ่าตัด ก็ย้ายมาที่ รพ.ราชวิถี ตอนที่ถูกยิงกำลังอยู่ในรถ กำลังช่วยปฐมพยาบาลคนเจ็บอยู่ เพราะว่าเป็นอาสาพยาบาลประจำรถพยาบาลของเวทีราชดำเนิน ถูกยิงขณะที่อยู่ในรถ อีกคนหนึ่งที่อาการหนักเหมือนกัน คือนายวรวัฒน์ ดิสระน้อย อายุ 43 ปี ทำงานอยู่ที่บริษัท การบินไทย ฝ่ายคาร์โก้ (คลังสินค้า) ถูกยิงด้วยกระสุนยาง แต่ยิงเข้าที่ตาพอดี ผ่าตัดแล้ว น่าเป็นห่วงว่าจะหายหรือไม่
ความสูญเสียที่เกิดขึ้นทั้งหมด เป็นเรื่องที่พวกเราพยายามหลีกเลี่ยง และพวกตนพยายามทุกวิถีทางที่ไม่ให้เกิดกรณีการปะทะกัน วันนั้นตนถึงไปรับพี่น้องที่ดินแดงและพากลับมา ทั้งๆ ที่มีพี่น้องประชาชนจำนวนมากยังไม่อยากกลับ เพราะใจมุ่งมั่นที่จะไม่อยากให้มีการเลือกตั้ง ต้องการที่จะปฏิรูปประเทศต่อการเลือกตั้ง เมื่อวานนี้ก็มีพี่น้องประชาชนบางส่วนไปแสดงการประท้วงต่อเนื่อง เพราะเห็นว่าที่พี่น้องชุดแรกได้ไปดำเนินการนั้น ทำไม่ได้ผล และควรจะทำให้ถึงที่สุด ตนก็กังวลใจ เมื่อวานก็มีการมาชักชวนชาวเวทีราชดำเนินให้ไปช่วยกันอีก ตนก็ลุกขึ้นมาห้ามปรามเอาไว้ เพราะเห็นว่าทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ได้เริ่มยิงแก๊สน้ำตา ตั้งแต่เวลา 07.00 น. เศษ
และการยิงแก๊สน้ำตาของเจ้าหน้าที่คราวนี้ไม่ใช่วิธีการปฏิบัติที่ถูกต้อง เมื่อคราวที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ใช้แก๊สน้ำตาประเภทที่ยิงจากปืนแก๊สน้ำตา ถูกพันธมิตรฯ ได้รับบาดเจ็บเสียหาย ถึงขั้นเสียชีวิต รัฐบาลในช่วงต่อมาถึงได้ห้ามไม่ให้ใช้ปืนยิงแก๊สน้ำตา ได้กำหนดไว้เลยว่าถ้าจะใช้แก๊สน้ำตาจะต้องใช้ชนิดขว้างเท่านั้น และต้องไม่ขว้างให้ถูกตัวคน ขว้างให้ตกข้างหน้า ห่างจากคนเพราะมีวัตถุประสงค์เพียงแค่ยับยั้ง ไม่ต้องการให้คนที่ไปชุมนุมกระทำความผิด แต่ปรากฎว่าครั้งนี้คนที่สั่งการให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติไม่ได้คำนึงถึงความถูกต้องที่ปฏิบัติเป็นหลักสากล ที่สมควรจะต้องปฏิบัติแก่ผู้ชุมนุม จึงได้เกิดความเสียหายทั้งบาดเจ็บ ทั้งเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
ตนไม่อยากให้เรามีความอาฆาตพยาบาท เพราะเราไม่ได้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ เราสู้กับระบอบทักษิณ ได้แต่กราบเรียน วิงวอนบรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย อย่าได้เอาสาเหตุนี้ไปขยายผลให้เกิดความแตกแยก เกิดความร้าวฉานในบ้านเมืองมากกว่านี้ ที่ต้องพูดถึงนี้เพราะว่าวันนี้ได้ปรากฎในสื่อออนไลน์ ได้มีคนพยายามปลุกระดมให้ตำรวจทั้งหลายเกลียดชังมวลมหาประชาชนที่มาชุมนุม ถึงขั้นชักชวนให้ตำรวจ 4-5 หมื่นนายแต่งเครื่องแบบให้พร้อม แล้วก็เดินผ่านพวกเราที่นี่ เพื่อไปที่วัดที่ตั้งศพของตำรวจที่เสียชีวิต ที่วัดตรีทศเทพ และถึงขั้นไปปลุกระดมให้บรรดาตำรวจไปรวมตัวกันที่สะพานสารสิน และบอกว่าให้เข้ามาจัดการกับพวกเราที่นี่
ตนขอถือโอกาสนี้เรียนไปถึงพี่น้องข้าราชการตำรวจ ว่ามวลมหาประชาชนที่นี่ไม่มีใครได้คิดว่าตำรวจเป็นศัตรู แต่ว่าเราตำหนิ เราโทษนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ตั้งแต่ พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ซึ่งเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ เป็นผู้กำกับการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ สองคนนี้สมควรที่จะต้องรับผิดชอบในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และสมควรที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการ แนวความคิดที่จะต้องปฏิบัติกับผู้ชุมนุมให้ถูกต้อง ตนเรียนไปถึงใครก็ตามที่กำลังปลุกระดมให้ตำรวจเกลียดชังประชาชน ว่าการกระทำของท่านที่กำลังทำอยู่นั้นไม่เป็นผลดีกับใครเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่เป็นผลดีกับประเทศชาติของเรา ตำรวจและประชาชนยังจะต้องอยู่ด้วยกัน ทำงานด้วยกัน เกื้อกูลกัน เพราะฉะนั้นขอให้ตำรวจดีๆ ทั้งหลายได้มีสติ
ถ้าตนจะทวนความให้ได้ทราบ ไม่ใช่เป็นตำรวจรายแรกที่เสียชีวิตเพราะการชุมนุม เมื่อปี 2553 ก็มีตำรวจเสียชีวิต 2 คน คนแรกคือ ส.ต.อ.กานต์นพัท เลิศจันทร์เพ็ญ เป็นตำรวจจากสามพราน นครปฐม ถูกยิงเมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2553 ที่ท้อง ขณะที่มาปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบอยู่หน้าธนาคารกรุงไทย สาขาสีลม มีคนร้ายซึ่งเป็นคนชุดดำออกมากราดยิงเจ้าหน้าที่ ปรากฎว่ามีเจ้าหน้าที่บาดเจ็บ 3 คน เสียชีวิต 1 คน รายที่สองที่เกิดขึ้นในปี 2553 คือ จ.ส.ต.วิทยา พรหมสาลี เป็นตำรวจมาจากชัยนาท ถูกยิงด้วยระเบิด เอ็ม 79 เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2553 คนร้ายใช้ปืนเอ็ม 79 ยิงใส่กองกำลังของตำรวจ ที่อยู่ตรงประตู 4 ของสวนลุมพินี หน้าตึกอื้อจือเหลียง มีตำรวจบาดเจ็บทันที 8 นาย และเสียชีวิต 1 นาย ถูกปอด ถูกหัวใจ
ที่ตนยกสองรายนี้ขึ้นมาเพื่อที่จะเตือนสติพี่น้องตำรวจว่า ถ้าท่านคิดจะอาฆาตผู้มาชุมนุม ด้วยเหตุที่เพื่อนตำรวจของท่านที่เสียชีวิตไปเมื่อวานนั้น ตนขอให้ท่านทบทวนให้ดี เพราะว่าตามที่มีพยานหลักฐานชัดเจนว่า ด.ต.ณรงค์ เสียชีวิตเพราะการกระทำของผู้ชุมนุม เมื่อวานมีคลิปที่ชัดเจนว่าในขณะที่เกิดเหตุนั้น ได้มีกลุ่มคนชุดดำขึ้นไปอยู่บนอาคารของกระทรวงแรงงาน แล้วก็ยิงใส่ทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่และประชาชน ตนได้ทราบว่าจากการชันสูตรศพของ ด.ต.ณรงค์ กระสุนที่ยิงนั้นมาจากที่สูง ซึ่งไม่ใช่ที่ฝ่ายประชาชนสามารถขึ้นไปได้ อาคารสูงที่ว่านั้นอยู่ในพื้นที่ควบคุมของฝ่ายตำรวจ จึงเป็นเรื่องที่ตำรวจจะต้องไปสืบสวนสอบสวนได้ชัดเจนก่อนว่าผู้ที่ยิงเป็นใคร ทำไมขึ้นไปอยู่บนตึกสูงได้ เป็นตำรวจปลอมหรือตำรวจจริง ถ้าเป็นตำรวจปลอม ทำไมตำรวจด้วยกันถึงอนุญาตให้ขึ้นไปยิงประชาชน ยิงเจ้าหน้าที่ลงมาจากตึกสูงได้ เรื่องที่ พล.ต.อ.อดุลย์ และ พล.ต.อ.วรพงษ์ต้องมาสอบสวน และตอบประชาชนให้ได้ ไม่ใช่มายุยงให้ตำรวจโกธรเคืองประชาชน และกระทำในสิ่งที่ไม่สมควรไป ถ้าตำรวจเสียชีวิตหนึ่งคน แล้วจะโกธรประชาชนทั้งประเทศ ก็ทำไมเมื่อปี 2553 จึงไม่โกธรคนที่ทำให้ตำรวจตาย ไม่มีการยุยงกันอย่างนี้ เพราะว่าชายชุดดำในปี 2553 เป็นคนฝ่ายเดียวกับรัฐบาล และเมื่อวานนี้ตนสงสัยว่าคนชุดดำก็เป็นคนฝ่ายรัฐบาลเช่นเดียวกัน
นายสุเทพ กล่าวอีกว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อปี 2553 และเหตุการณ์ที่สูญเสียเมื่อวานนี้ มีกลุ่มบุคคลที่ตั้งใจให้เกิดเหตุฆ่ากันระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่ ทั้งนายวสุ และด.ต.ณรงค์ เป็นเหยื่อของสถานการณ์ และเป็นเหยื่อของระบอบทักษิณ ซึ่งเราจะต้องคิดบัญชีกับระบอบทักษิณ ไม่ใช่มาคิดบัญชีกับประชาชน คนที่บาดเจ็บคนที่เสียชีวิต ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม พวกเราเสียใจกันทั้งนั้น และเราหลีกเลี่ยง เราตั้งใจที่จะไม่ให้เกิดขึ้น มวลมหาประชาชนทั้งหลายจึงได้ยึดแนวทางต่อสู้ที่สันติ สงบ ปราศจากอาวุธ และเราได้ยึดถือแนวทางนี้ในการต่อสู้ตลอดมา แม้กระทั่งเมื่อวานนี้ ขณะเกิดเหตุเมื่อวานนี้มีสื่อมวลชนอยู่กับฝ่ายประชาชนมากมาย กระจายกันอยู่กับประชาชนเกือบทุกกลุ่ม ไม่ปรากฏว่ามีผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์ฉบับใด หรือของโทรทัศน์ ที่เห็นว่าประชาชนมีอาวุธ ถ้ามีต้องถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอได้ มิหนำซ้ำผู้สื่อข่าวถูกยิงพร้อมกับที่ประชาชนถูกยิงด้วยซ้ำไป
“เหตุที่เกิดขึ้น ต้องมีตำรวจปลอมเข้าไปร่วมกับตำรวจจริง แต่จะไปโดยตำรวจจริงรู้ด้วยหรือไม่รู้ ผมไม่ทราบเพราะภาพที่ปรากฎในคลิปวีดีโอที่เรานำมาแสดงเมื่อวานเห็นชัดเจนว่าที่ตำรวจเข้าไปทุบรถของอาสาสมัครพยาบาลของเรานั้น ไม่น่าที่จะเป็นการกระทำของตำรวจจริงที่มีนโนธรรม เป็นการกระทำของสัตว์ร้ายที่แฝงตัวมาในเครื่องแบบของตำรวจ ถึงวันนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีหน้าที่ไปสืบมาไปสอบสวนมาว่าใครปล่อยให้ตำรวจปลอมเข้าไปอยู่กับตำรวจจริงจนเกินการกระทำที่เกิดความย่อยยับเหมือนเมื่อวานนี้” นายสุเทพ กล่าว
นายสุเทพ กล่าวอีกว่า วันนี้นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ ออกมาแถลงกล่าวหาว่าตนเอาข้อความเท็จมาพูดบนเวที มาบอกว่ารูปของประชาชนคนหนึ่งที่ถือปืนพกสั้นแล้วทำท่ายิง ไม่ใช่เรื่องที่ฝ่ายรัฐบาลได้เอามาพูด ตนก็จะบอกว่าวันนี้สู้กันระหว่างฝ่ายประชาชนกับระบอบทักษิณ การที่เมื่อวานมีเหตุปะทะ มีคนเจ็บ คนตาย และเมื่อมีการเอาภาพนั้นใส่ไปในสื่ออออนไลน์ ฝ่ายไหนได้ประโยชน์ ฝ่ายนั้นแหละคือคนทำ มีคนเชื่อมากกว่าผู้ชุมนุมมีอาวุธ แต่ที่ตนเดินใกล้รถขยายเสียง ไม่มีคันไหนที่เหมือนรถขยายเสียงที่เห็นในภาพ และโชคดีที่นายสุริยะใสจำได้ว่าภาพนี้เกิดเมื่อปี 2551 ไม่ใช่เหตุการณ์เมื่อวาน เพราะฉะนั้นฝ่ายที่เอาความเท็จมาพูดไม่ใช่พวกเรา แต่เป็นฝ่ายรัฐบาล
นอกจากนี้ ตนได้ทราบว่ามีการจัดทีมพิเศษที่จะมาจับแกนนำให้ได้ โดยเฉพาะนายนิติธร ล้ำเหลือ ที่ปรึกษา คปท. กับตน และจะต้องจับให้ได้ก่อนวันที่ 30 ธ.ค. นี้ ผมไม่ว่าจะยกกำลังตำรวจมาสัก 5-6 หมื่นคนไม่เป็นไร แต่จะบอกว่าประชาชนของเรามือเปล่าทั้งสิ้น และถ้าจะเอาอาวุธมาทำร้ายประชาชน ตนยินดีให้จับ โดยไม่ต่อสู้ แต่อย่าฆ่าประชาชนของเรา เพียงแต่จะเรียนให้ทราบว่าการจัดการกับตนหรือจัดการกับนายนิติธร ไม่ได้ทำให้กระบวนการของประชาชนคราวนี้ล้มเลิกไปได้ เพราะเมื่อประชาชนลุกขึ้นมาแล้วไม่ถอยอีกแล้ว โดยเฉพาะเมื่อลูกหลานของประชาชนต้องมาเสียชีวิต และบาดเจ็บยืนยันได้เลยว่ามวลมหาประชาชนไม่ยอมให้ลูกหลานเสียชีวิตไปโดยเปล่าประโยชน์เด็ดขาด
“ไม่ว่าจะมีผมทำหน้าที่เป็นแกนนำหรือไม่ แต่ผมเชื่อว่าพี่ๆ น้องๆ ทุกคนที่ยังเหลือและทุกคนพร้อมทำตัวเป็นแกนนำต่อสู้คราวนี้ จนกว่าชัยชนะจะเป็นของประชาชน พวกคุณจะเป็นใครก็ตาม ที่ยอมเป็นขี้ข้าของระบอบทักษิณ ไม่มีวันเข้าใจอุดมการณ์ของประชาชน เพราะคนอย่างพวกคุณเป็นคนไร้อุดมการณ์ เป็นพวกหนักแผ่นดิน แต่เราประชาชนทั้งหลายตัดสินใจร่วมกันแล้วว่ากันต่อสู้คราวนี้ต้องทำให้สำเร็จ ถึงที่สุด ไม่ยอมให้ระบอบทักษิณมีอำนาจอยู่เหนือประเทศไทยอีกต่อไป ขอให้ความอาลัย ความโศกเศร้าของเราเป็นพลัง แรงหนุนให้พวกเราทั้งหลายมีความรักสามัคคีกันมากขึ้นและเห็นคุณค่าของชีวิตผู้บริสุทธิ์ที่ต้องเสียไป และทำให้ดวงวิญญาณของท่านผู้เสียชีวิตมีความสุขในสัมปรายภพเพราะพวกเราสืบสานปณิธานของท่านทำการให้สำเร็จจงได้” นายสุเทพ กล่าว
นายสุเทพยังขอบคุณบรรดาคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทุกคน ที่เมื่อวานนี้เมื่อเห็นเหตุการณ์รุนแรงได้ออกแถลงการณ์เสนอรัฐบาลให้เลื่อนการเลือกตั้งออกไป ตนได้เคยล่วงเกิน กกต.เพราะประเมินผิด เข้าใจผิด นึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของระบอบทักษิณ เมื่อแสดงท่าทีอย่างนี้ ขอโทษต่อหน้าประชาชน และขอบคุณในอุดมการณ์ที่มีด้วยความเคารพจริงๆ และถือโอกาสนี้กราบเรียนไปยัง กกต. จังหวัดทุกจังหวัดว่าอย่าได้ฝืนใจประชาชนอีกต่อไป เพราะประชาชนไม่อยากให้มีการเลือกตั้ง ต้องการปฏิรูปประเทศไทยให้เสร็จก่อนถึงจะให้มีการเลือกตั้งตามปกติต่อไป และประจักษ์ชัดแจ้งแล้วมีคนตาย คนบาดเจ็บ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ ไม่ออกมาแสดงความรู้สึกแม้แต่นิดเดียว เพราะไม่เห็นคุณค่าของชีวิตประชาชน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวานนี้ต้องทำให้เรายิ่งมีแรงมุมานะต่อไปว่า เราจะต้องยึดคืนอำนาจอธิปไตยคืนจากระบอบทักษิณให้ได้ ตนไม่มีความกลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว ตนได้ประกาศชัดเจนแล้วว่าจะเดินหน้านำพี่น้องต่อไป ทำการปฏิวัติโดยประชาชน ยึดอำนาจอธิปไตยคืนมาเป็นของประชาชนให้ได้ เพราะมีแต่หนทางนี้เท่านั้นที่จะทำให้พวกเราสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ปฏิรูปประเทศไทย ให้เป็นประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และมั่นใจได้ว่าลูกหลานเกิดมาเป็นเสรีชน ไม่ต้องเป็นขี้ข้าเขา และเรายังยืนยันต่อสู้ด้วยความสันติ สงบ แม้ไม่มีอาวุธแต่มีหัวใจหลายล้านดวงหลอมรวมกัน ไม่มีวันกลัวเกรงทั้งสิ้น
“ผมเรียนกับพี่น้องเลยว่าหลังปีใหม่ เราจะมาร่วมกันที่นี่เพื่อยึดกรุงเทพฯและยึดกรุงเทพฯให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดเพื่อเอาอำนาจอธิปไตยคืนมาเป็นของประชาชนให้ได้ ขอให้พี่น้องประชาชนที่อยู่ต่างจังหวัดที่ประสงค์เข้ามาปฏิบัติการยึดกรุงเทพร่วมกับพวกเราเตรียมตัวรอฟังสัญญาณและมาคราวนี้ให้เตรียมเสื้อผ้า ข้าวปลาอาหาร ช่วยตัวเองได้พร้อมยืนหยัดต่อสู้คราวนี้สู้กันเป็นเดือนสู้จนกว่าจะชนะ สำหรับพี่น้องกรุงเทพฯให้รีบสะสางงานการให้แล้วเสร็จภายในช่วงเทศกาลปีใหม่หรือหลังปีใหม่ไม่กี่วัน เพราะหลังจากนั้นเราจะปิดกรุงเทพ เราจะยึดกรุงเทพ เราจะไม่เหลือที่แม้แต่ตารางนิ้วเดียวให้คนของระบอบทักษิณได้มาอาศัยกดขี่ข่มเหงประชาชนอีกต่อไป ถ้าพี่น้องชาวกรุงเทพรายได้ไม่สบายใจที่จะอยู่ในกรุงเทพฯในห้วงเวลานั้นจะได้มีเวลาขยับขยาย ให้เหลือเฉพาะคนที่มีหัวใจร่วมต่อสู้กับมวลมหาประชาชนเพื่อขับไล่ระบอบทักษิณให้สำเร็จให้ได้” นายสุเทพ กล่าว
นายสุเทพ กล่าวอีกว่า ตนส่งสัญญาณนี้ เพราะเรื่องนี้จะต้องเป็นเรื่องใหญ่ ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่ามวลมหาประชาชนลุกขึ้นยึดอำนาจด้วยมือเปล่า และมืดฟ้ามัวดินจริงๆ และต้องสำเร็จให้ได้ เมื่อยึดอำนาจได้ก็เป็นรัฏฐาธิปัตย์ และเราก็จัดตั้งสภาของประชาชน ไม่มีสมุนทักษิณมาเป็นอุปสรรคในการปฏิรูปประเทศไทยอีกต่อไปและเราต้องทำให้สำเร็จ ถือโอกาสนี้ขอบคุณองค์กรภาคเอกชนที่ได้แสดงท่าทีชัดเจนว่าต้องการปฏิรูปประเทศไทยเช่นเดียวกับมวลมหาประชาชน ขอให้ประชาชนทุกสาขาอาชีพร่วมกันทำการนี้ให้สำเร็จเพื่ออนาคตของประเทศไทยของเรา
สำหรับผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ เรามีกองทุน กปปส. ที่เราได้ถอนบัญชีมาก่อนจะถูกปิดบัญชี วันนี้มีเงินเหลืออยู่จะช่วยเหลือเยียวยาทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ทั้งผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ คณะกรรมการ กปปส. หารือกันแล้ว กรณีที่เสียชีวิตจะให้การช่วยเหลือรายละ 1 ล้านบาท รวมทั้งเจ้าหน้าทีตำรวจด้วย เพราะเป็นเหยื่อเหมือนกับเรา ส่วนที่ได้รับบาดเจ็บจะดูแลค่ารักษาพยาบาลและชดเชยให้ตามสภาพ และตั้งใจดูแลทุกคนทุกฝ่ายแม้ว่าฝ่ายรัฐบาลจะไม่สนใจใยดีเลยก็ตาม สำหรับบรรดาสมุนบริวารขี้ข้าของระบอบทักษิณทั้งหลายคณะกรรมการ กปปส. ได้ระดมบรรดานักกฎหมาย ได้หารือและปรึกษากันยกร่างคำฟ้องในการดำเนินคดี และทันทีที่พ้นปีใหม่ก็จะมอบของขวัญ เป็นคดีให้แก่คนพวกนี้ทุกคน กรณีแรกที่ไปทุบทำลายรถยนต์ ส่วนรถมอเตอร์ไซด์ที่ถูกทุบ กปปส. ชดเชยให้ทุกราย และช่วยมาฟ้องคดีด้วยกัน กรณีจับประชาชนไป 15 คน และทำร้ายร่างกาย ผู้เป็นโจทก์คือญาติของผู้เสียชีวิตและผู้ที่ถูกจับกุม
กรณีที่สาม กรณีที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ให้อายัดบัญชีของพวกเรา จะดำเนินการทางอาญากับนายธาริต ในข้อหาปฎิบัติหน้าที่มิชอบ และหมิ่นประมาท กรณีที่สี่ กรณีที่นายธาริต ออกหมายเรียกแกนนำกล่าวหาว่าเป็นกบฏ เราไม่ได้เป็นกบฎเพราะศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งแล้วว่า การชุมนุมเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและเราชุมนุมสงบ สันติ กรณีนี้นายธาริตต้องขึ้นศาลทั่วประเทศไทย เพราะแกนนำอยู่ที่ไหนเราก็จะไปฟ้องที่ศาลนั้น นอกจากนี้จะทำเรื่องร้องต่อ ป.ป.ช. ดำเนินคดีร้องเรียนกับ ป.ป.ช. ว่าเจ้าหน้าที่ดำเนินการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ ป.ป.ช. สอบสวนดำเนินคดี และไปยื่นเรื่องร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินอีกทางหนึ่งด้วย ทั้งหมดนี้จะทำทันทีที่เป็นวันเปิดหลังปีใหม่
นอกจากนี้ คณะกรรมการ กปปส. ปรึกษากันอยู่ว่าอาจจะต้องขอแรงมวลมหาประชาชนให้แต่ละคนลงชื่อในหนังสือร้องทุกข์ ยื่นกับนายธาริตก่อน ให้นายธาริตไปดำเนินคดีข้อหากบฎกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และคณะรัฐมนตรีที่ไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ถ้านายธาริตไม่ดำเนินการ พี่น้องเข้าชื่อได้แสนคน เราก็จะดำเนินคดีกับนายธาริต แสนคดี ถ้าเข้าชื่อได้ล้านคนก็จะดำเนินการกับนายธาริตล้านคดี ที่ต้องตัดสินใจอย่างนี้จะได้เป็นอุทาหรณ์ ให้ข้าราชการคนอื่นที่เป็นขี้ข้าทักษิณ รู้ไว้ว่าเรามวลมหาประชาชนจะสุ้กับคุณทุกรูปแบบที่กฎหมายเปิดทางให้เราทำ ขอให้พี่น้องกอดคอแนวแน่ เคึยงบ่าเคียงไหล่สู้ สู้ข้ามปี ให้ชนะให้ได้