xs
xsm
sm
md
lg

“ปานเทพ” ชี้ปฏิรูปประเทศต้องครองใจประชาชน - แนะ ปชป.ไม่ส่งผู้สมัคร-เปิดช่องอารยะขัดขืน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อดีตแกนนำพันธมิตรฯ แนะประชาชนอย่ามัวแต่สนใจรูปแบบมากกว่าเนื้อหาการปฏิรูปประเทศ ชี้ต้องครองหัวใจประชาชนเท่านั้นจึงจะทำได้ แนะพรรคประชาธิปัตย์ไม่ส่งผู้สมัคร ชูธงปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง แล้วประชาชนจะอารยะขัดขืน ชี้ช่องมาตรา 93 วรรค 7 ส.ส.ไม่ครบ 500 คนเปิดสภาไม่ได้ ส.ส.ภาคใต้มี 50 คน แค่ 26 คนก็เปิดสภาไม่ได้แล้ว



 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ปราศรัย  

วันนี้ (20 ธ.ค.) ที่บ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ปราศรัยในงานพันธมิตรฯสัมพันธ์ ครั้งที่ 2 ทางออกประเทศไทย กล่าวย้ำว่า การที่พันธมิตรฯ ยุติบทบาท เป็นการเร่งปฏิกิริยาให้ประเทศเปลี่ยนเร็วขึ้น และหากพรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้นำการชุมนุมและชูธงปฏิรูปประเทศ จะมีมวลชนจำนวนมหาศาล อย่างที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำเคยกล่าวไว้

ทั้งนี้ กระแสการปฏิรูปประเทศที่พันธมิตรฯ ได้กล่าวถึงเมื่อปี 2551 กลายเป็นสิ่งที่พูดถึงในเวลานี้ มักจะมีคนตั้งคำถามว่า ในคราวที่แล้วไม่มีใครเข้าใจเราว่าเรายุติบทบาทแล้วจะเกิดกระบวนการเร่งปฏิกิริยาได้อย่างไร ในที่สุดทำให้รัฐบาลหลงเข้าใจว่า กลุ่มผู้ชุมนุมทุกกลุ่มหากไร้ซึ่งแกนนำพันธมิตรฯ แล้วจะไม่มีพลัง จึงลุแก่อำนาจ แก้กฎหมาย พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ปลุกให้ประชาชนตื่นทั้งประเทศ กระแสกดดันจากนายสนธิ และเอเอสทีวี เรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์ออกมา เพราะเชื่อว่ามีฐานเสียงที่ยิ่งใหญ่ อีกทั้งกระแสไม่พอใจรัฐบาลลุแก่อำนาจ ประชาชนจะออกมาอย่างล้นหลาม ซึ่งสิ่งที่นายสนธิพูดก็เป็นจริงทุกประการ

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ พัฒนากลายเป็น กปปส.จากการคัดค้านแก้ไข พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ต่อมาเป็นการขับไล่รัฐบาล และการปฏิรูปประเทศไทย เพราะวิวัฒนาการของประชาชนคิดออกแล้วว่า การเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบของประเทศอีกต่อไป เมื่อรับรู้มวลมหาประชาชนจึงนำพานายสุเทพไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศ ซึ่งตนขอชื่นชมนายสุเทพ และแกนนำที่ลาออกจาก ส.ส.และพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อนำมวลชนไปสู่เป้าหมายเปลี่ยนแปลงประเทศ หลายคนกำลังสับสนว่าเราจะเดินไปทางไหนดี แบ่งเป็นสองกระแสสำคัญ กระแสหนึ่งมีความเชื่อว่า เราต้องเข้าสู่อำนาจรัฐ สร้างสภาประชาชน รัฐบาลประชาชนเท่านั้น จึงจะเกิดการปฏิรูปประเทศ มีความเชื่อว่าถ้าไร้ซึ่งการเข้าสู่อำนาจรัฐโดยประชาชนที่ชุมนุมแล้ว เราจะไม่สามารถไว้วางใจใครได้

กับอีกกระแสหนึ่ง ไม่สนใจการเข้าสู่อำนาจรัฐ วิธีไหนก็ได้ทำให้ประเทศไทยปฏิรูปเปลี่ยนแปลง สถานการณ์ในวันนี้จะต้องชั่งใจ ความสำเร็จในการชุมนุมระยะที่ผ่านมาเพราะอะไร การต่อสู้คัดค้านปัญหารายประเด็น เช่น การคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ครองประชาชนใช่หรือไม่ ประชาชนจึงออกมาล้นหลาม รัฐบาลจึงวิ่งหางจุกตูด ถอนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมทุกฉบับ แสดงว่าประเด็นการคัดค้านรายประเด็นไม่มีผู้คัดค้านเป็นมวลชน เพราะไม่เว้นคนเสื้อแดง หมายความว่าจุดเริ่มต้นมวลมหาประชาชนครองใจประชาชน มวลมหาประชาชนจึงออกมาโดยปราศจากการคัดค้านแม้แต่มวลชนคนเสื้อแดง แปลว่ายุทธศาสตร์การขีดเส้นครั้งนั้นเป็นการชุมนุมต่อต้านโดยประชาชน 65 ล้านคน กับ ส.ส.พรรคเพื่อไทย 300 กว่าคน รัฐบาลจึงไม่สามารถทัดทานกระแสได้

แต่ถ้าประชาชนคัดค้านไปสู่การโค่นล้มรัฐบาลเมื่อไหร่ เรากำลังขีดเส้นแบ่งใหม่เป็นฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลกับกลุ่มคนเสื้อแดง ด้วยเหตุผลนี้จึงมีการชูธงปฏิรูปประเทศไทย นายสุเทพจึงออกมากล่าวว่าไม่ได้สู้เพื่ออำนาจของตัวเอง และการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยคือคำตอบไม่มีสี เพราะประชาชน 65 ล้านคนได้ประโยชน์เท่ากัน แต่เมื่อพัฒนาเป็นสภาประชาชน รัฐบาลประชาชน ก็เผลอเข้าสู่อีกขั้วอำนาจหนึ่งทันที เกิดแรงต้านจากคนเสื้อแดงขึ้นมาอีก ถ้าไม่อยากเกิดสงครามสีเสื้ออีกต่อไป ทำให้ประเทศไทยดีขึ้น การเคลื่อนไหวระหว่างยึดอำนาจรัฐให้ได้ กับครองหัวใจประชาชนให้ได้ อันไหนสำคัญกว่ากัน ซึ่งการเข้าสู่อำนาจอาจไม่ใช่คำตอบเหมือนกับการทำให้เกิดการครองใจประชาชน

เพราะการเข้าสู่อำนาจทำให้เกิดคำถามว่า ใครขั้วใคร ใครสีไหน ขั้วไหน แต่ถ้ายึดการครองหัวใจประชาชนต้องเอาประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้งเท่านั้น การเข้าสู่อำนาจรัฐ สภาประชาชน รัฐบาลประชาชน คือรูปแบบการปฏิรูป แต่การครองหัวใจประชาชนคือเนื้อหาปารปฏิรูป ซึ่งไม่เหมือนกัน เช่น ถ้าเราบอกว่าสภาประชาชนจะเป็นใคร ก็จะมีคนถกเถียง แต่ถ้าพูดว่า คดีทุจริตไม่มีอายุความ ใครจะกล้าเถียง และถ้าคนพูดถึงการปฏิรูปพลังงาน ให้ทรัพยากรเป็นของคนไทย ทั้งหมด 65 ล้านคน ค่าภาคหลวงจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล การจ่ายกองทุนน้ำมันของอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ปิโตรเคมี ต้องจ่ายทัดเทียมกับอุตสาหกรรม ทำให้ประชาชนไม่ต้องรับภระค่าน้ำมันและแก๊สที่แพงเกินไป อย่างนี้ประโยชน์เกิดขึ้นกับคนไทย 65 ล้านคนไม่มีสีเสื้อ

เพราะฉะนั้น ยุทธศาสตร์สำคัญ ถ้าเห็นว่าการครองใจประชาชนเป็นสิ่งที่สำคัญเหนือกว่าการเข้าสู่อำนาจรัฐ เราต้องชูเนื้อหาการปฏิรูป มากกว่าการเข้าสู่อำนาจรัฐ ถ้าเราหลงในประเด็นของคณะกรรมการการปฏิรูป เท่ากับว่าเราสนใจรูปแบบมากกว่าเนื้อหา ถ้าเราหลงในรูปแบบการปฏิรูปบางทีเนื้อหาการครองใจประชาชนอาจจะไม่ได้เลย เช่น เมื่อปี 2549 เกิดปรากฎการณ์พรรคการเมืองฝ่ายค้านนำโดยพรรคประชาธิปัตย์ พรรคมหาชน พรรคชาติไทย ลงสัตยาบันแก้ไขรัฐธรรมนูญ 1 มาตรา เพื่อให้เกิด ส.ส.ร.และมีการปฏิรูปการเมืองใหม่ โดยเชิญพรรคไทยรักไทยมาลงสัตยาบันด้วย แต่ไม่ลง เขาไปทำสัญญาประชาคมกับพรรคการเมืองอื่นๆ ที่ไม่ใช่พรรคการเมืองอยู่ในสภา และเรียกว่าสัญญาประชาคม

อย่างไรก็ตาม 7 ปีที่แล้วสนใจรูปแบบการปฏิรูป ถึงวันนี้ 7 ปีผ่านไปมีเนื้อหาสักข้อไหมว่าจะนำไปสู่การปฏิรูปอย่างแท้จริง ทั้งจากฝ่ายค้านหรือรัฐบาลก็ตาม ฝ่ายพรรคไทยรักไทยลงสัญญาประชาคม ไม่สำคัญเท่ากับเป้าหมายที่ต้องการ คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มาของ ส.ว.ให้เป็นฝ่ายเดียวกับพรรคพวกรัฐบาล แก้ไขอำนาจไม่ให้คนยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ ห้ามประชาชนตรวจสอบ และยื่นคำร้องต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อนักการเมืองอยากฉีกรัฐธรรมนูญ แก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 เพื่อปิดหูประชาชนในการทำสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ที่อาจกระทบต่อประชาชน สิ่งเหล่านี้เป็นเนื้อหาที่อยากจะปฏิรูป

ดังนั้น เราอย่าหลงกลเกมที่คนทุกภาคส่วนพูดว่า เห็นด้วยกับการปฏิรูป เพราะการปฏิรูปของพวกมันอาจจะไม่เหมือนของเรา เช่นเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ มีอำนาจอยู่เต็มมือ 2 ปี มีคณะกรรมการ 1 ชุดทำการปฏิรูปประเทศ เสนอหัวข้อการปฏิรูปมากมาย ไม่มีสักข้อไหมถูกนำมาการปฏิรูป และไม่ถูกนำมาหาเสียงว่าจะปฏิรูปประเทศหลังจากนั้นด้วย คดีทุจริตไม่มีอายุความ ตั้งแต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายพีระพันธ์ สันติรัฐวิภาค เสนอให้คดีทุจริตไม่มีอายุความ แต่กฎหมายเป็นหมัน ไม่เคยเข้าสู่การพิจารณาแม้แต่นิดเดียว แต่กลับแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ให้รัฐบาลบริหารง่ายๆ ที่มาของ ส.ส.ให้เป็นเขตเดียวหลายคนได้

เมื่อเป็นเช่นนี้เราจะไว้วางใจนักการเมืองที่จะนำพาไปสู่การปฏิรูปประเทศ เมื่อคนเหล่านี้คิดแต่รูปแบบ แต่ไม่เคยคิดเนื้อหา ยังประโยชน์ให้กับนักการเมือง ถ้าคิดจะเข้าสู่อำนาจรัฐ ปฏิวัติประชาชน เราต้องสั่งราชการโดยสามารถให้คุณได้โทษได้จริง ต้องบังคับใช้กฎหมายกับฝ่ายตรงข้ามได้ มีกองกำลังติดอาวุธ ไม่ว่าตำรวจหรือทหารยืนอยู่เคียงข้างประชาชน จึงจะบังคับใช้กฎหมายได้ และสำหรับประเทศไทย ฝ่ายไหนมีพระปรมาภิไธย มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ฝ่ายนั้นคือความชอบธรรม เมื่อประชาชนยังไม่มี ศาลจะพิจารณาบอกว่าเราเป็นรัฐาธิปัตย์ไม่ได้

ถ้าจะเข้าสู่อำนาจรัฐ เป็นการปฏิวัติประชาชน มีหลายคนคิดเรื่องพึ่งพาทหาร มองทหารเป็นหุ้นส่วน แต่ลืมไปหรือไม่ว่าเรามีมวลมหาประชาชนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ทำไมถึงไม่มีอำนาจต่อรองในการเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ ความแตกต่างเล็กน้อยไม่ใช่ปัญหา เพราะทุกคนก็คิดดีต่อชาติบ้านเมืองในสถานการณ์นี้ แต่ความแตกต่างระหว่างสุเทพกับสนธิ อยู่ที่นายสุเทพเชื่อว่าการปฏิวัติประชาชนต้องพึ่งพาทหาร แต่นายสนธิเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงประเทศต้องให้มวลมหาประชาชนกำหนดท่าทีทหาร ซึ่งต้องครองหัวใจประชาชนเท่านั้นจึงจะทำได้

นายปานเทพ กล่าวว่า ถ้าเราสนใจในรูปแบบการปฏิรูป อาจไม่มีหลักประกันในเนื้อหาที่เราอยากได้ แต่ถ้าเราชูเนื้อหาที่เราอยากได้ จะปฏิรูปแบบไหนไม่สำคัญ เพราะเรารู้ว่ารูปแบบการปฏิรูป ใครเป็นใคร ใครเข้าสู่อำนาจ ก็คล้ายกับการช่วงชิงอำนาจในวิธีการหนึ่ง อาจจะมีคนดีหรือคนไม่ดี ไม่สำคัญเท่ากับประโยชน์ของประชาชน 65 ล้านคน เพราะการช่วงชิงอำนาจ ช่วงชิงส่วนแบ่ง ก็จะเกิดความขัดแย้ง ความไม่เห็นด้วย ความแตกต่างต่าง แต่ถ้าเอาประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง เราจะสามัคคีกับคน 65 ล้านคนได้ โดยไม่มีสงครามกลางเมือง ไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้อ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ ประชาชนตื่นแล้ว ตั้งแต่ประชาชนชุมนุมกฎหมายกระชับอำนาจของรัฐบาลไม่กล้าเดินหน้า และคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ทำให้คนเสื้อแดงตาสว่างเมื่อถูกทรยศ ถ้าเราไม่ถอยออกมา ทักษิณก็ไม่ลุแก่อำนาจ ยอมนิรโทษกรรมคนที่บอกว่าฆ่าคนเสื้อแดง ซ้ำร้ายจับคนเสื้อแดงเป็นตัวประกัน สัญญาว่าจะช่วยมวลชน พอตัวเองไม่ได้ก็ยกเลิกนิรโทษกรรมทุกคน แม้กระทั่งมวลชนคนเสื้อแดงที่ไปสัญญาไว้ ส่วนประชาชนลุกขึ้นมาต่อสู้ นักการเมืองจะกล้าเลวร้ายน้อยลง และประชาชนเห็นพ้องต้องกันว่าเราต้องปฏิรูปประเทศ

ที่สำคัญ รัฐบาลทำผิด สภาทำผิด นานวันเข้านักการเมืองเสียเปรียบ การอดทนให้เป็น และสถานการณ์ที่มีทีวีหลายช่องถ่ายทอดคือการปฏิวัติความคิด เพราะฉะนั้น อย่ารีบ อย่าท้อ เราได้ชัยชนะนับตั้งแต่เรานับหนึ่งก้าวของมวลมหาประชาชนแล้ว เมื่อเราไม่ท้อ เราจะเห็นแสงสว่างของการปฏิรูป ไม่ว่าการปฏิรูปจะเป็นอย่างไรก็เป็นเพียงแค่เปลี่ยนกติการูปแบบ แต่ถ้าประชาชนเปลี่ยนจิตสำนึก คือการปฏิวัติความคิดประชาชน ระบบแบบไหนนักการเมืองอยู่ไม่ได้ เช่น การกระจายอำนาจ ถ้าประชาชนไม่เปลี่ยนความคิดจะกลายเป็นการกระจายการคอร์รัปชัน

นายปานเทพ กล่าวอีกว่า เมื่อเราเข้าใจว่าเราฝากอนาคตไว้กับฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ที่ไม่ทำการปฏิรูปประเทศ เราจึงไม่ควรฝากการปฏิรูปไว้กับระบบเดิม ดังกนั้นนักการเมืองควรถอยออกไปจากการปฏิรูปประเทศไทย ถ้าอาศัยการเลือกตั้งแข่งขันนโยบายพรรคมันไม่ได้ เพราะระบบปัจจุบันก็มีปัญหาอยู่ เมื่อเราไว้ใจไม่ได้ก็เหลือช่องทางเดียว คือ ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง ไม่เชื่อสัตยาบันเพราะตระบัดสัตย์ โกหก ถ้าจะปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง มีสองทางเลือกในสองเดือน คือ การเดินหน้าปฏิรูปให้เร็ว กับการทำให้การเลือกตั้งเลื่อนออกไปจนกว่าการปฏิรูปจะสำเร็จ

การเลือกตั้งจะมีความชอบธรรมหรือไม่อยู่ที่ประชาชน ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ลงสมัครรับเลือกตั้งก็เท่ากับพรรคประชาธิปัตย์ยอมรับระบบนี้ ประชาชนจะแตกเป็นสองฝ่าย แต่การที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ส่งปผู้สมัครรับเลือกตั้งเท่ากับมีความชอบธรรมในการเคลื่อนไหวของประชาชน ซึ่งเป็นโอกาสชัยชนะของคนไทยทั้งประเทศ เมื่อการเลือกตั้งเดินหน้า ถ้า กปปส.ไม่ขัดขวางการรับสมัครเลือกตั้ง ประชาชนจะไปเองมันห้ามไม่ได้ แต่ถ้าสมัครรับเลือกตั้งได้ มีข้อกฎหมายบางประการ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 93 วรรค 7 ส.ส.500 คน มีเกินร้อยละ 95 เท่ากับเป็นสภาผู้แทนราษฎร แต่ไม่สามารถเปิดประชุมสภาฯ เราต้องการ 26 ที่นั่งที่ทำให้การเลือกตั้งไม่มีสภาผู้แทนราษฎรได้

แปลว่า นายสุเทพ พาอดีต ส.ส.8-9 คน ไม่กลับไปลงสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งยังห่างไกล แต่พรรคประชาธิปัตย์มี ส.ส.ภาคใต้ 50 ที่นั่ง แปลว่าถ้าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ประชาชนไปจัดการทำให้ไม่มีการเลือกตั้งได้ เพียง 26 เขต ไม่ว่าจะกี่สิบปีก็เปิดสภาไม่ได้ หมายความว่า ประชาชนมากกว่า 26 เขตจะไม่มีทางไปดำเนินการทำให้มีการเลือกตั้งได้ จนกว่าจะมีการปฏิรูปสำเร็จ น่าเสียดายรัฐบาลแทนที่จะขอเลื่อนการเลือกตั้งโดยใช้ พ.ร.ฎ.กลับตัดสินใจเจรจา กกต.จะเดินหน้าวันที่ 2 ก.พ.แต่ถ้าพรุ่งนี้พรรคประชาธิปัตย์มีใจให้ประชาชน มาร่วมภารกิจปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งเป็นยุทธศาสตร์ ประเทศไทยมีความหวัง

ถ้าการเลือกตั้งจะมีประชาชนไปอารยะขัดขืน ก็เป็นฉันทานุมัติจากประชาชน ยิ่ง กกต. เดินหน้าหาสถานที่สำรอง หรือพรรคเพื่อไทยจะส่งตัวแทนไปสมัครคนเดียว ยิ่งทำให้ประชาชนต่อต้านการเลือกตั้งก่อนการปฏิรูป ขณะที่ ป.ป.ช.จะชี้มูลความผิดคดีจำนำข้าวเดือนมกราคมนี้ ขอให้ประชาชนมีความสุขในการต่อสู้ ไม่มีวันแพ้ ขออย่างเดียว อย่าหลงในรูปแบบการปฏิรูปมากกว่าเนื้อหาการปฏิรูป เพราะอุดมการณ์และการต่อสู้ของประชาชนจะถูกทิ้งไปให้ใครก็ไม่รู้ที่จะปฏิรูปโดยไม่เป็นไปตามเนื้อหา อันนี้อันตรายอย่างยิ่ง ส่วนในอนาคตจะต้องทำอย่างไรต่อไป การปฏิวัติความคิดประชาชนถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด ถ้าประชาชนไม่ตกเป็นทาสของนักการเมือง การปฏิรูปประเทศเป็นเพียงแค่เครื่องมือในการปฏิวัติความคิด ไม่มีอะไรน่าห่วง

“ฝากพรรคประชาธิปัตย์ มันหมดเวลาแล้วที่จะรักษาระบบเดิม ถึงเวลาแล้ว ที่จริงพวกเราไม่สนใจแล้วว่าท่านจะลงหรือไม่ลง เพราะประชาชนเดินหน้าไปแล้ว ท่านเดินตามประชาชนให้ทันก็แล้วกัน” นายปานเทพ กล่าว















กำลังโหลดความคิดเห็น