ผ่าประเด็นร้อน
ไม่รู้ว่านี่คือหนึ่งในแผนลดทอนพลังของมวลชนที่ยังรวมตัวกันต่อต้าน "ระบอบทักษิณ" ต่อต้านรัฐบาลรักษาการของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลังจากที่ เธอ(ยิ่งลักษณ์) ได้หลั่งน้ำตาเมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามถึงการเรียกร้องให้ครอบครัวชินวัตรเลิกยุ่งกับการเมืองแล้วออกไปจากประเทศไทย โดยย้อนถามว่า "จะไม่ให้อยู่บนแผ่นดินไทยเลยหรือ"พร้อมทั้งขอความเป็นธรรมให้กับตระกูลชินวัตร ซึ่งคำพูดดังกล่าวของ ยิ่งลักษณ์ ที่กล่าวออกมานั้นอาจมองได้สองทาง ทางแรกนี่คือแผนที่เตรียมมาพูด และเตรียมมาถามจากผู้สื่อข่าวในเครือข่ายที่รับใช้กันมา หรืออีกทางหนึ่งเป็นเพราะสติปัญญาอัน"โง่เขลา"อย่างที่สังคมไม่น้อนมองเห็นอยู่จึงไม่รู้ว่าทำไมคนไทยจำนวนมากจึงมีความต้องการให้"พวกชินวัตร"พ้นออกไปจากแผ่นดินไทย
แน่นอนว่าด้วยระบอบทักษิณอันใหญ่โตย่อมฝังลงรากลึกในสังคมไทย ย่อมมีเครือข่ายกว้างขวาง มีทั้งพวกที่เชี่ยวชาญในเรื่องจิตวิทยามวลชนจึงวางแผนให้เล่น "บทเจ้าน้ำตา"แผนนารีบีบน้ำตาเรียกความสงสาร ให้เห็นภาพ"ถูกรังแกไม่หยุดหย่อน" ทั้งที่พวกเธอถอย "จนไม่รู้จะถอยอย่างไรแล้ว" เหมือนอย่างที่เธอไปบีบน้ำตาไปนั่นแหละ
แต่ที่นี้เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ความเป็นจริงก็คือ "มันไม่ได้ถอยจริง" หรือถ้าถอยก็เป็นเพียงแค่"ซื้อเวลา"เอาตัวรอดเท่านั้นไม่ได้เกิดจากความ "สำนึก"แต่อย่างใด หากเริ่มตั้งแต่การเสนอร่างพระราชบัญญัติล้างผิดให้พี่ชายคือ ทักษิณ ชินวัตร ก็เกิดจากความเหิมเกริมลุแก่อำนาจ แต่เมื่อถูกมวลชนลุกฮือต่อต้านก็ทำท่าถอยไป"แอบ"อยู่ข้างบ้าน เพื่อ"รอจังหวะ"เข้ามาปล้นใหม่ หลังจากครบ 180 วันไปแล้ว หรือแม้กระทั่งการนำร่างพระราชบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภาอันมีเป้าหมายเพื่อ"รวบอำนาจ"แต่เมื่อถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามิชอบด้วยรัฐธรรมนูญคนพวกนี้ก็ไม่ยอมรับอำนาจศาลฯมิหนำซ้ำยังคิดที่จะถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียอีก ขณะเดียวกันเมื่อศาลรัฐธรรมนูญคำร้องของผู่คัดค้านเอาไว้พิจารณา นั่นย่อมหมายความว่าเริ่มมีปัญหา ต้องรอความชัดเจนก่อน แต่นี่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะนายกฯกลับไม่สนใจนำกฎหมายที่มีมลทินนำขึ้นทูลเกล้าฯให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธย ไม่ต่างจากการกดดันพระองค์ท่าน แม้ว่าล่าสุด(8 ธค.)บอกว่าได้ขอพระราชทานกลับคืนลงมาแล้ว รวมทั้งขอพระราชทานอภัยโทษแล้ว แต่ก็เกิดขึ้นจากที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยผ่านมานานนับเดือนแล้ว นี่ก็แสดงให้เห็นชัดว่าไม่ได้จริงใจ เป็นอีกหมากกลถอยเพื่อเอาตัวรอด ไม่ได้เกิดจากความสำนึกเช่นเดียวกัน
ที่สำคัญคำพูดแบบบีบน้ำตาของยิ่งลักษณ์ ดังกล่าวยังอาจเป็นแผนการ "เรียกความเห็นใจ"เรียกความสงสารเพื่อ "บั่นทอน"กำลังของกลุ่มผู้ชุมนุมฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณ และรัฐบาลหุ่นเชิด เป็นการให้แผน "น้ำตานารีพิฆาต"แสดงให้เห็นว่าพวกเธอถอยจนไม่มีทางไปแล้ว ยังตามรังควานกันไม่เลิกอะไรประมาณนั้น
นี่คือการมองแบบรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของคนในครอบครัวนี้ ที่หากพิจารณาจากอดีตต่อเนื่องกันมาไม่เคยมีความสำนึก รับผิดกับการกระทำที่กระทำไปสักเรื่องเดียว มีแตากล่าวโทษคนอื่น เช่น บอกว่า "ขี้อิจฉา"บ้างละ สารพัด หรือถ้าเป็นศาลหากตัดสินไม่ถูกใจก็บอกว่า "ไม่เป็นธรรม"เป็นไปตามคำบงการของ "มือที่มองไม่เห็น"หรือแม้แต่"ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ" บ้างละ แล้วแต่สรรหาคำพูดมา"เอาดีเข้าตัวเอาชั่วให้คนอื่น" ครอบครัวชินวัตรไม่เคยผิด ไม่เคยเลี่ยงภาษี ไม่เคยลอกข้อสอบ ไม่เคยทุจริต ไม่เคยเอาเปรียบใคร ไม่เคยเอาเงินงบประมาณมาหากำไรให้กับธุรกิจในครอบครัว ฯลฯ และที่สำคัญผลงานของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ผ่านมาเกือบปีล้วนสุดยอดสามารถ "กระชากค่าครองชีพ"ลงมาได้สำเร็จ ชาวบ้านอยู่ดีมีสุข เกษตรกรสามารถขายผลผลิตทางการเกษตรราคาดี มีหนี้สินลดลงกันทั่วหน้า อย่างนั้นหรือ !!
ดังนั้นการย้อนถามด้วยน้ำตาว่า "จะไม่ให้อยู่บนแผ่นดินไทยเลยหรือ" ถือว่าเป็นคำพูดที่ไม่รู้ว่าโง่หรืออย่างไรกันแน่ เพราะถ้าคนที่เข้าใจเรื่องราวมาตั้งแต่ต้นก็ย่อมมีคำตอบใส่หน้ากลับไปทันทีว่า "ใช่"เพราะที่ผ่านมาครอบครัว "ชินวัตร"ได้ก่อกรรมทำเข็ญไว้กันบ้านเมืองไม่รู้จักหยุดหย่อน และนับวันยิ่งหนักข้อ ยิ่งเห็นแก่ตัวจนไม่อาจอภัยให้ได้เลย และจนบัดนี้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวคงยังไม่เข้าใจว่าทำไม "มวลมหาประชาชน"ถึงได้ร่วมใจกันออกมารวมพลังขับไล่กันมากมายถึงเพียงนี้ ซึ่งไม่ต้องมาเถียงกันเรื่องตัวเลขว่าออกมาเท่าไหร่ แต่รับรองว่าไม่เคยมากมายแบบนี้มาก่อนในประวัติศาสตร์ มากมายจนทำให้คนในครอบครัวชินวัตรถึงกับต้องถอยหนีเอาตัวรอด และนึกไม่ถึงว่า "เกลียด"กันถึงขนาดนี้
และในคำตอบแท้จริงก็คือ มีทั้งต้องมาติดคุก และก็มีทั้งต้องออกไปให้พ้นจากแผ่นดินไทย เพราะมันเป็น"กาฝาก"และไร้ประโยชน์ทั้งโคตร ต้องไปสถานเดียว เพื่อให้บ้านเมืองดีขึ้นและสูงขึ้น !!
