อดีตโฆษกพันธมิตรฯ ชี้ กปปส.สะสมชัยชนะมามากแล้ว แม้ไม่ชนะถึงที่สุด แต่สามารถยับยั้ง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ชะลอแก้รัฐธรรมนูญรวบอำนาจ กระตุ้น ปชช.ตื่นตัวการเมือง ทำการปฏิรูประเทศกลายเป็นวาระประชาชน ทหาร-ตำรวจหยุดขวาง แนะเชื่อมั่นศรัทธาในแนวทาง มั่นใจการต่อสู้ไม่สูญเปล่า
ภายหลังจากกลุ่มมวลชนภายใต้การนำของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) สามารถเข้าไปยังบริเวณหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล และภายในบริเวณทำเนียบรัฐบาล โดยมีเจ้าหน้าที่เปิดทางให้เมื่อวานนี้ (3 ธ.ค.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ อดีตแกนนำรุ่นที่ 2 และโฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้โพสต์ข้อความในแฟนเพจเฟซบุ๊ก ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ แสดงความคิดเห็นต่อเรื่องดังกล่าว โดยใช้หัวข้อว่า “มวลมหาประชา "งง" เราชนะแล้ว!?”
นายปานเทพกล่าวว่า สำหรับบางคนที่กำลังอ่อนล้า ท้อแท้ เพราะคิดว่าไม่รู้จะได้รับชัยชนะได้อย่างไรหรือมองไม่เห็นฝั่ง แต่สำหรับผมแล้ว แม้จะยังไม่ได้รับชัยชนะอย่างถึงที่สุด แต่การชุมนุมครั้งนี้ได้รับชัยชนะสะสมมากมายไปแล้ว ดังนี้
1. พ.ร.บ.นิรโทษกรรมไม่เกิด และทักษิณแทบหมดโอกาสกลับประเทศแล้ว
2. รัฐบาลต้องหยุดชะงักการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อรวบอำนาจ
เฉพาะ 2 ข้อ ก็เห็นว่าเราได้หยุดการล้างความผิดในอดีต และการกระชับอำนาจของระบอบทักษิณในอนาคตไปได้แล้ว
3. ประชาชนได้ตื่นตัวทางการเมืองเป็น “พลเมือง” มากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน (จากความลุแก่อำนาจของฝ่ายรัฐบาล) และกระแสปฏิรูปเกิดขึ้นสูงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน หมายถึงประชาชนได้เริ่มมองข้ามการต่อสู้เพื่อขั้วอำนาจ ตรงนี้ไม่ว่าจะปฏิรูประบบสำเร็จหรือไม่ ก็ไม่สำคัญเท่ากับการปฏิรูปความคิดและปัญญาประชาชนได้ก้าวหน้าไปกว่าเดิมมาก และถ้าประชาชนตื่นรู้ไม่ว่าจะระบบการเมืองจะอยู่กับที่หรือก้าวหน้า นักการเมืองจะเหิมเกริม ลุแก่อำนาจและชั่วช้าได้ไม่เท่าเดิมอีกต่อไป
4. การปฏิรูปประเทศ ได้เป็นวาระประชาชนไปแล้ว จนฝ่ายค้านและรัฐบาลไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป นักวิชาการ อาจารย์ นักธุรกิจ นักเคลื่อนไหว และมวลชนทุกกลุ่ม ทุกสาขาอาชีพ ทุกเพศ ทุกวัย มีเป้าหมายเป็นเอกภาพหนึ่งเดียว ถือว่าการยกกระแสปฏิรูปให้เป็นเอกภาพ ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดดในระยะเวลาเพียงเดือนเศษเท่านั้น แปลว่าการปฏิรูปประเทศจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนแล้วหลังจากนี้ และจะเกิดการปรับตัวในทุกพรรคการเมืองหลังจากนี้
5. มวลชนเสื้อแดงได้เรียนรู้บทเรียนที่เจ็บปวดที่สุดคือ ทักษิณจับมวลชนเสื้อแดงเป็นตัวประกันผ่าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ทำให้ได้รู้ว่าถ้าจะล้างความผิดให้มวลชนเสื้อแดงต้องล้างความผิดให้ทักษิณด้วยเท่านั้น ถ้าทักษิณไม่ได้ล้างความผิด มวลชนเสื้อแดงก็ให้ติดคุกต่อไป และยังเท่ากับแสดงธาตุแท้ในการทรยศคนเสื้อแดงที่กฎหมายล้างความผิดได้ครอบคลุมคนที่แกนนำเสื้อแดงอ้างว่าเป็นฆาตกรฆ่ามวลชนเสื้อแดง ประกอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบลักหลับ ปิดปากฝ่ายค้านห้ามพูดที่ขาดความชอบธรรม อีกทั้งการบริหารเศรษฐกิจที่ล้มเหลว ข้าวยากหมากแพง แนวร่วมมวลชนฝ่ายรัฐบาลจึงตาสว่างและมีจำนวนลดลงไปอย่างมาก
6. นับตั้งแต่วันที่ 20 พ.ย. 2556 เป็นต้นมาที่ศาลรัฐธรรมนูญได้กล่าวถึงการที่สมาชิกรัฐสภา 312 กระทำความผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ฐานทุจริต ทำลายหลักนิติธรรม กระทำการให้ได้มาซึ่งอำนาจที่ไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยนี้ผูกพันทุกองค์กร รอการชี้มูลจาก ป.ป.ช. สมาชิกรัฐสภา 312 คนก็จะต้องหยุดทำหน้าที่ และรอการตัดสินทางอาญาโดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผลคือรอวันถูกเชือดทางอาญาสถานเดียว นับวันที่เกิดการชุมนุมค้ำยันอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ก็เท่ากับการนับถอยหลังนักการเมืองระบอบทักษิณไปเรื่อยๆเช่นกัน
7. บัดนี้ ทหาร และ ตำรวจ แม้จะไม่ได้ยืนอยู่ข้างประชาชน แต่จะไม่เป็นอุปสรรคกับประชาชนอีกต่อไป หมายความว่าหากการชุมนุมเป็นไปโดยสงบและปราศจากอาวุธ ก็จะไม่เกิดการสูญเสียของประชาชนโดยเจ้าหน้าที่รัฐหลังจากนี้ (อย่างน้อยก็ในทางเปิดเผย)
ขอเพียงอดทน เชื่อมั่นและศรัทธาในสิ่งที่ทำ ไม่ตกเป็นเหยื่อของการใช้อาวุธเพื่อปะทะหรือการสร้างสถานการณ์ความรุนแรงเพื่อคิดว่าจะเป็นเงื่อนไขให้ทหารออกมา และต้องคำนึงเสมอว่าตราบใดที่ยังไม่ไดมีกองทัพเข้าร่วมเลือกข้างประชาชนการยึดสถานที่ราชการอาจไม่สามารถหยุดอำนาจรัฐได้จริง แต่การได้ “หัวใจ” และ “จำนวน” ของพี่น้องประชาชนที่รับชมทีวีและข่าวสารอยู่ทางบ้านต่างหากคือบันไดสำคัญที่จะก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองด้วยปัญญาอย่างแท้จริง
“จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้นผมจึงมีความเชื่อมั่นว่าการต่อสู้ของภาคประชาชนครั้งนี้ “ไม่สูญเปล่า” และวิวัฒนการการชุมนุมครั้งนี้จะส่งผลทำให้ประชาชนได้รับชัยชนะในท้ายที่สุดในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน ขอให้กำลังใจทุกท่านได้สู้ต่อไป ธรรมะจะต้องชนะอธรรม ขอให้ประสบความสำเร็จ ให้ชัยชนะเป็นของประชาชน มีความปลอดภัย และโชคดี” นายปานเทพระบุ