จบไปแล้วกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมกับจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทยเมื่อกลางดึกคืนวันพุธที่ 27 พ.ย.56 ที่ผ่านมา
แน่นอน ยิ่งลักษณ์และจารุพงศ์ จะผ่านศึกซักฟอกของพรรคประชาธิปัตย์มาได้ด้วยเสียงข้างมากที่กดปุ่มไว้วางใจ ยิ่งลักษณ์-จารุพงศ์ ไปด้วยมติฝักถั่วของสภาทาสเพื่อไทย แต่ในท่ามกลางความตื่นตัวของประชาชนทั้งประเทศที่ลุกขึ้นมาต่อสู้ขับไล่ระบอบทักษิณ ถึงแม้ยิ่งลักษณ์-จารุพงศ์ จะชนะฝ่ายค้านด้วยเสียงโหวตในสภาฯ แต่สำหรับความชอบธรรมทางการเมืองของทั้งสองคน มันหมดไปตั้งแต่ยังไม่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วยซ้ำ กับพฤติการณ์การกระทำความผิดทางการเมืองหลายครั้งหลายหนของยิ่งลักษณ์ ผู้นำรัฐบาลกับจารุพงศ์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย
ยิ่งเมื่อประชาชนทั้งประเทศได้ยินได้ฟังข้อมูลการอภิปรายของฝ่ายค้านตลอดช่วง 2 วันที่ผ่านมาคือ 26-27 พ.ย. ก็ยิ่งประจักษ์ชัดด้วยข้อมูลและประเด็นการอภิปรายของฝ่ายค้านที่เปิดแผลความไร้ประสิทธิภาพในการเป็นผู้นำประเทศและความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินของยิ่งลักษณ์กลางที่ประชุมสภาฯ
โดยเฉพาะคำอภิปรายของฝ่ายค้านซึ่งทิ่มไปที่แผลใหญ่ของรัฐบาลคือ “นโยบายรับจำนำข้าว”ที่ฝ่ายค้านได้ตีแผ่เงื่อนงำอันชวนน่าสงสัยว่าจะมีการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากโครงการรับจำนำข้าว
มี นักการเมือง-เครือข่ายคนใกล้ชิดนักการเมืองในรัฐบาลชุดนี้ร่วมทุจริตฉ้อฉลหาประโยชน์จากโครงการกันแบบมูมมาม อันเป็นข้อมูลที่ชวนให้สะดุ้งไม่น้อยว่าหากยังปล่อยให้มีการโกงกินกันแบบนี้ ต่อไปประเทศไทยคงเหลือแต่กระดูก
ไฮไลท์สำคัญในการอภิปรายเปิดแผลเรื่องรับจำนำข้าวของฝ่ายค้านยังคงเป็นขุนพลคนเดิมของพรรคปชป.คือนพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก ที่รอบนี้ก็ไม่ได้ทำให้หลายคนผิดหวังแต่อย่างใด
ประเด็นหลักของนพ.วรงค์ที่อภิปรายเรื่องรับจำนำข้าว เมื่อ 27 พ.ย.56 สรุปได้ว่าฝ่ายค้านชี้ให้เห็นว่า ในการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลเพื่อไทย ที่มีการต่อยอดโครงการรับจำนำข้าวที่มีข้าวอยู่ในโกดังของรัฐมากมาย ออกมาเป็นการทำโครงการข้าวถุงถูกใจ ธงฟ้า โดยมีองค์การคลังสินค้า (อคส.) เป็นหน่วยงานหลักในการรับผิดชอบโครงการ ที่ทำโครงการดังกล่าวตามมติที่ประชุมคณะกรรมการข้าวแห่งชาติ(กขช.) ซึ่งจะมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานโดยตำแหน่ง ซึ่งได้มีมติจัดทำข้าวถุง 4 ครั้งคือ
1.เดือนต.ค.54 จำนวน 1 แสนตัน
2. เดือนมี.ค.54 จำนวน 1 แสนตัน
3.เดือนพ.ค.55 จำนวน 5 แสนตัน
4.เดือนธ.ค.55 จำนวน 1.8 ล้านตัน
แต่นพ.วรงค์ชี้ว่าจากการตรวจสอบพบว่าข้าวถุง ธงฟ้า ที่มีการมอบหมายให้อคส.รับผิดชอบในการผลิตและนำไปจำหน่ายต่อประชาชน แต่ปรากฏว่าเมื่อมีการดำเนินการกันไปแล้วพบว่าไม่เคยเห็นมีการนำข้าวถุงธงฟ้าดังกล่าวออกวางในตลาด เพราะไม่มีการทำข้าวถุงอคส.จริงตามมติของกขช.
“เป็นการร่วมมือกันระหว่าง 3 ฝ่ายคือ 1.อคส. 2. โรงสีที่รับปรับปรุงข้าว 3 แห่งได้แก่ บริษัท เจียเม้ง จ.นครราชสีมา บริษัท โชควรลักษณ์รุ่งเรืองกิจ จ.ลพบุรี และบริษัท สิงโตทองไรซ์ จ.กำแพงเพชร และ 3.บริษัทตัวแทนจำหน่ายข้าวถุง 3 แห่งได้แก่ บริษัท สยามรักษ์ บริษัท คอนไซน์เทรดดิ้ง และบริษัท ร่มทอง
โดยพบว่าทั้งสามบริษัทไม่ได้นำข้าวไปขายให้ประชาชนแต่กลับไปจำหน่ายคืนให้โรงสีที่รับปรับปรุงข้าว ถือเป็นการโกหกแบบหน้าด้านๆ”
ประเด็นหลักในคำอภิปรายของนพ.วรงค์ก็คือการโยงให้เห็นว่า โครงการข้าวถุงธงฟ้า ของอคส.มีเครือข่ายนักการเมืองเข้ามาหาประโยชน์ ซึ่งน่าจะมีเงินทอนเข้ากระเป๋าเครือข่ายนักการเมืองหลายพันล้านบาท
“ขณะนี้มีตัวละครใหม่คือ บริษัท สิงโตทองไรซ์ จ.กำแพงเพชร มี “เสี่ยหรั่ง”หรือนายมนต์ชัย ที่คนในวงการรู้ดีว่า มีรัฐมนตรี “ว” สายตรงเจ๊ ด เป็นแบ็คให้ แม้จะเป็นบริษัทที่เพิ่งเข้ามาใหม่ แต่ได้รับโควตาทำข้าวถุงถึง 1.5 แสนตัน
การจัดทำข้าวถุงครั้งที่ 4 จำนวน 1.8 ล้านตัน นักวิชาการคำนวณว่า จะมีกำไร 8,520 ล้านบาท แต่ทราบมาว่า ฝ่ายการเมืองขอแบ่งไป 5,000 ล้านบาท ที่เหลือให้โรงสีไปแบ่งกันเอง อย่างไรก็ตามเมื่อการจับทุจริตการทำข้าวถุงได้ก่อน ทำให้ครม.มีมติวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา ให้ชะลอการทำข้าวถุงออกไป ทำให้ความเสียหายเหลือเพียง 1.2 หมื่นล้านบาท แต่หากจับไม่ได้ จะเกิดความเสียหายถึง 5 หมื่นล้านบาท”
ในตอนท้ายนพ.วรงค์ กล่าวปิดอภิปรายแบบ ปิดฝาโลงย้ำเรื่องการคอรัปชั่นในโครงการรับจำนำข้าวว่า
“นายกรัฐมนตรีจะไม่รับผิดชอบได้อย่างไร ปล่อยให้มีการโกงทุกขั้นตอน ทีแรกคิดว่า นายกฯไม่รู้ อยู่ในฐานะนั่งเรือที่โจรพาย แต่ตอนหลังมีการโกงทั้งจีทูจี ทั้งข้าวถุง น่าจะเป็นพายเรือร่วมกับโจร”
มีข่าวว่าระหว่างนพ.วรงค์เปิดแผลทุจริตฉ้อฉลโกงกินจำนำข้าว วอร์รูมรับศึกอภิปรายฯ ของยิ่งลักษณ์ ที่ตั้งอยู่ชั้น 2 ใกล้ๆ กับห้องทำงานของนายกรัฐมนตรีในตึกรัฐสภา ทีมงานทั้งหมด ถึงกับนั่งกันไม่ติด และน่าจะเสนอให้ยิ่งลักษณ์ ใช้วิธีการ “โยนขึ้”ออกไปจากตัวด้วยเหตุผลเดิม “แม้ประธานกขช.จะเป็นนายกรัฐมนตรีโดยตำแหน่ง แต่ก็มอบหมายให้รัฐมนตรีคนอื่นไปทำหน้าที่ นั่งประชุมแทน”
จนยิ่งลักษณ์ ก็ใช้วิธีการดังกล่าวอย่างที่หลายฝ่ายคิดไว้ก่อนหน้านี้ คือ ปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็น ปัดสวะไปเรื่อย แล้วก็ให้พวกนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รมว.พาณิชย์-ยรรยง พวงราช รมช.พาณิชย์-กิตติรัตน์ ณ ระนอง รมว.คลังในฐานะทำหน้าที่ประธานที่ประชุมกขช.แทนยิ่งลักษณ์ขอชี้แจงแทนตามใบสั่งเพื่อออกหน้าแทนยิ่งลักษณ์ในสภาฯ
เช่นเดียวกับ วราเทพ รัตนากร อดีตส.ส.กำแพงเพชร หลายสมัย ในฐานะรมต.สำนักนายกรัฐมนตรีและรมช.เกษตรและสหกรณ์ ก็ดูจะกินปูนร้อนทอง ขอชี้แจงเรื่องที่นพ.วรงค์ปูดว่า มีเครือข่ายคนใกล้ชิดรัฐมนตรี “ว” สายตรงเจ๊ “ด” อยู่เบื้องหลังการได้ประโยชน์จากโครงการข้าวถุงดังกล่าว ว่าไม่รู้เรื่องไม่เกี่ยวข้อง กล่าวหาแบบเลื่อนลอย
ก็ว่ากันไป ทั้งฝ่ายรัฐบาล-ฝ่ายค้าน ก็ต้องยันในข้อมูลของตัวเองว่าถูกต้องกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง แต่หากให้จับกระแสดูแล้ว เชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่รับฟังข้อมูลของนพ.วรงค์มากกว่าคำแก้ตัวของยิ่งลักษณ์-วราเทพและรัฐมนตรีหลายคนที่ออกมาแก้ตัวเรื่องรับจำนำข้าวแทนยิ่งลักษณ์แน่นอน
เลยกลายเป็นว่า วราเทพ เด็กเจ๊ด.เลยโดนหางเลข จำนำข้าว ฟาดเข้าใส่จนได้แผลทั่วตัว แบบไม่ทันตั้งตัวไปเลย
ขณะที่ลูกพี่ใหญ่ในพรรคเพื่อไทยคือ “จารุพงศ์ รมว.มหาดไทยและหน.เพื่อไทย” ก็กระอักเลือดไป กับการอภิปรายของวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง ประชาธิปัตย์ที่อภิปรายเรื่อง ข้อกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมทุจริตจงใจกระทำผิดกฎหมายป.ป.ช.ที่ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดเกิน 3 พันบาท
การอภิปรายของฝ่ายค้านอ้างว่า จารุพงศ์ มท.1 ที่มีหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดคือ การประปาส่วนภูมิภาค ซึ่งมีบริษัทลูกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯคือบริษัท อีสต์วอเตอร์ ได้นำ จารุพงษ์ และคณะ อาทิผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ เลขานุการรมว.มหาดไทย ไปต่างประเทศคือที่จีนและมาเลเซีย โดยบริษัทมีการมอบเงินค่าใช้จ่ายหรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า พ็อคเก็ต มันนี่ ให้กับจารุพงศ์ ผ่านบริษัททัวร์ที่รับผิดชอบดูแลพาคณะจารุพงศ์ไปมาเลเซียและจีน
“เช่นไปเที่ยวมาเลเซีย ที่มีบริษัททัวร์แห่งหนึ่งรับผิดชอบดูแลคณะ ก็มีการให้เงิน 62,340 บาท ตอนไปจีนก็มีการมอบเงินค่าใช้จ่ายให้ 39,350 บาท และมีครั้งหนึ่งก็ใช้บริการอีกบริษัทหนึ่งก็มีการมอบให้117,500 บาท”คำอภิปรายของนายวิรัชที่ระบุไว้พร้อมกับอ้างว่ามีผู้บริหารของบริษัทอีสต์วอเตอร์คนหนึ่ง เป็นคนสนิทของนายจารุพงศ์และบุตรชายรมว.มหาดไทย
เจอเข้าไปแบบนี้ จารุพงศ์ ที่ชอบโชว์พาว์ฯ ถึงกับ ลากเลือดกลางสภาฯ แล้วก็แก้ตัวไปว่ายอมรับว่าเดินทางไปจีนและมาเลเซียจริง ตามที่ฝ่ายค้านอภิปราย แต่ที่ไปก็เพื่อไปดูงานเรื่องการบริหารจัดการน้ำ แต่ค่าใช้จ่ายทั้งหมดทั้ง ค่าเครื่องบินและที่พักทั้ง 2 ทริปเป็นคนจ่ายเงินเองทั้งหมด รวมเป็นเงิน 210,000 บาท จึงไม่ได้รับประโยชน์จากบริษัทเอกชนเกินกฎหมายป.ป.ช.แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์ ประธานวิปฝ่ายค้าน ก็มาสรุปไว้ตอนช่วงปิดอภิปรายว่าคำชี้แจงของจารุพงศ์ฟังไม่ขึ้นเพราะมีพยานเอกสารยืนยันการติดต่อระหว่างบริษัทอีสต์วอเตอร์กับบริษัททัวร์ว่าเพื่อแจ้งยืนยันการจ่ายเงินดังกล่าวให้กับนายจารุพงศ์ไปแล้ว ในลักษณะเหมือนแจ้งให้ทราบ
อีกทั้งฟังไม่ขึ้นที่จารุพงศ์จะนำเงินค่าใช้จ่ายดังกล่าวไปให้บริษัทอีสต์วอเตอร์เพื่อให้อีสต์วอเตอร์ส่งไปให้บริษัททัวร์อีกทีหนึ่งเพื่อไปซื้อตั๋วเครื่องบินและจ่ายค่าที่พัก เพราะหากจะทำ ก็เอาเงินส่งไปยังบริษัทอีสต์วอเตอร์หรือบริษัททัวร์ไปเลย ไม่เห็นต้องให้มีการส่งต่อกันไปให้ยุ่งยาก จึงถือว่าคำชี้แจงฟังไม่ขึ้นและเป็นหน้าที่ของป.ป.ช.จะพิจารณาต่อไปหลังฝ่ายค้านยื่นเรื่องถอดถอนจารุพงศ์ไว้ด้วย
กลายเป็นว่านอกจาก ยิ่งลักษณ์ ที่เจอฝ่ายค้านถลกหนักกลางสภาฯ จนแทบเสียผู้เสียคน แต่เจ้าตัวยังหน้าระรื่น เพราะขนาดประชาชนนับล้านออกมาขับไล่รัฐบาลโคลนนิ่งระบอบทักษิณ เธอก็ยังหน้าหนาไม่รู้สึกรู้สมแล้ว ก็ยังพบว่า“วราเทพ-จารุพงศ์”ก็อยู่ในสภาพ แทบหามออกจากสภาฯเพราะเจอฝ่ายค้านเปิดแผลที่ซุกซ่อนไว้แทบไม่ทัน
สรุปได้ว่า แม้จบศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจไปแล้ว แต่ทั้งลูกพี่-ลูกน้อง อย่างยิ่งลักษณ์-จารุพงศ์-วราเทพ กอดคอกันตายคามีดเชือดปชป.