xs
xsm
sm
md
lg

“ยิ่งลักษณ์” ไม่ตอบตัวเองโง่ อ้างบริหารประเทศเน้นเนื้องาน ฝ่ายค้านซัดแค่ “ดาวพระเคราะห์ไร้แสง”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ศึกซักฟอกรัฐบาล “ชินวรณ์” ซัดนายกฯ ปรับ ครม.ปูนบำเหน็จญาติ-บริวาร-พวกรับใช้ระบอบทักษิณ ย้ำประเทศไทยไม่ใช่บริษัท ขี้ข้าดิ้นพรวดอ้างนั่งเก้าอี้เพราะความสามารถ “นิพิฏฐ์” เปรียบเป็นดาวพระเคราะห์ไร้แสง ไม่ฉลาด-ไม่มีภูมิความรู้-ไม่พัฒนาตัวเอง แฉเบื้องหลังดัน กม.ล้างผิดหวังเงินคืน 982 ล้าน เจ้าตัวไม่ขอตอบ อ้างคนที่ร่วมงานรู้ดีว่าเน้นที่เนื้องาน


 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อภิปราย  

วันนี้ (26 พ.ย.) ที่รัฐสภา ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี นายชินวรณ์ บุญยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวตำหนิ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ว่า พฤติกรรมเหมือนเดิม คืออ่านโพยแล้วเดินออกไป ตนเป็นผู้หนึ่งที่เสนอญัตติไม่ไว้วางใจนายกฯ ตนไม่คิดว่านายกฯ จะมาเสนอหน้าให้ตนอภิปราย แต่ก็ดีที่เดินออกไป จะได้ฟ้องว่าที่คนทั้งประเทศมาขับไล่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย ตั้งแต่เด็กระดับอนุบาล ถึงระดับมหาวิทยาลัย ตนเคยต่อสู้กับทรราช 14 ตุลา 16 มีคนมาแค่ระดับแสน ซึ่ง 2 ปีที่บริหารแผ่นดินปล่อยปละละเลยสร้างความเจ็บช้ำกับประชาชนอย่างไร การประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง เมื่อคืนนี้ เป็นการฟ้องว่านายกฯ ไม่เคยสนใจในการแก้ไขปัญหา คิดจะทำเพียงเรื่องเดียวคือรักษาผลประโยชน์ของตระกูลชินวัตร ต้องการให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ เพราะคนๆ เดียว ถ้านายกฯ ก้าวพ้นผลประโยชน์ครอบครัวเหตุการณ์วันนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น กลับไม่ละอายยังชูหน้าชูคอ ลอยหน้าลอยตา เป็นรัฐบาลยิ่งกว่าทรราช เป็นนายกฯ ยิ่งกว่ายักษ์คีณี

นายชินวรณ์ อภิปรายตอนหนึ่งว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีตั้งคณะรัฐมนตรีโดยมีการปรับ ครม.5 ครั้ง โดยมีการตั้งรัฐมนตรีต่างตอบแทนในกลุ่มผลประโยชน์ระบอบทักษิณ วงศ์วานว่านเครือพรรคพวกกลุ่มทุน ตัวแทนระบอบทักษิณ เคยมีส่วนเกื้อกูลช่วยเหลือการทุจริตคอร์รัปชัน แต่ที่น่าเกียจคือทุกครั้งที่จะปรับ ครม.จะมีการสไกป์และโฟนอินมายังที่ประชุม ครม.แลพรรคเพื่อไทย ตนขอกล่าวหาว่านายกฯ เอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องยังไม่พอ ยังเลวสองเด้ง โดยถูกชี้นำจากบุคคลที่อยู่เหนือการครอบงำ การแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีเป็นไปตามทฤษฎีหลอดกาแฟของเจ๊ ด.คือ 1.ต้องตรง ไม่บิดไม่เบี้ยว 2.ต้องเหนียว ไม่รั่วระหว่างทาง 3.ดูดได้หมด ซื่อสัตย์เหมือนทาสรับใช้ เช่น การแต่งตั้งนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน ที่เริ่มเข้าสู่การการเมืองด้วยการเป็นกรรมการบริหารพรรคความหวังใหม่ และได้ร่วมก่อตั้งพรรคกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อาสาเข้าไปเป็นนายหน้าเจรจาซื้อขายสนามกอล์ฟอัลไพน์ และยังเป็นคนประสานให้พรรคความหวังใหม่ควบรวมกับพรรคไทยรักไทย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อนายชินวรณ์อภิปรายถึงจุดนี้ ทำให้สมาชิกพรรคเพื่อไทยลุกขึ้นประท้วงว่านายชินวรณ์กล่าวพาดพิงถึงบุคคลอื่น นายวิสุทธิ์ ไชยณรุน ประธานที่ประชุม จึงสั่งห้ามไม่ให้อภิปรายในประเด็นนี้

นายชินวรณ์ จึงได้อภิปรายข้ามไปถึงนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม มีสายสัมพันธ์ทางการเมือง ถูกจัดอยู่ในสายชินวัตร จันทร์ส่องหล้า นายกฯต่างตอบแทนเตรียมการมหาโปรเจกต์ขนาดใหญ่ทำให้คนไทยเป็นหนี้ 2 ล้านล้านบาท ภายใต้การให้นายชัชชาติเข้าไปดูแล สนองนโยบายทักษิณคิด เพื่อไทยทำ นอกจากนี้ยังได้แต่งตั้ง นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข ที่ประชาชนไม่รู้จักเลย แต่เป็นผู้นำเข้าเฟอร์นิเจอร์รายใหญ่ของบริษัท แสนสิริ กรุ๊ป และซื้อขายเฟอร์นิเจอร์โดยตรงร่วมกับเอสซี แอสเสท จึงต่างตอบแทนด้วยการให้มาเป็น รมว.สาธารณสุข จนถูกแพทย์ชนบทลุกขึ้นมาประท้วงทุกวันนี้

อีกทั้งยังแต่งตั้งแก๊งรับใช้ตระกูลชินวัตร รวม 3 คน ประกอบด้วย เด็กถือกระเป๋า นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ใครก็รู้ว่าเป็นผู้จัดการบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมูนิเคชั่น และเป็นประธานบริษัทในเครือทั้งหมด ล่าสุดเป็นรองประธานบริหารกลุ่มชิน คอร์ปอเรชัน ได้รับการเอื้อประโยชน์ให้มานั่ง รมว.พาณิชย์ หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ปฏิเสธว่าไม่ได้แต่งตั้งขึ้นมาเอง แสดงให้เห็นว่าเป็นเครือข่ายของระบอบทักษิณ แต่ล่าสุดการแต่งตั้ง นายชัยเกษม นิติสิริ ได้ปูนบำเหน็จเป็น รมว.ยุติธรรม เพราะอดีตเคยเป็นอัยการสูงสุด เกี่ยวข้องโดยตรงกับการออกคำสั่งไม่ฟ้องคดี คตส.ฟ้องร้อง พ.ต.ท.ทักษิณ และยังเคยร่วมเป็นคณะกรรมการกฤษฎีกาที่มีความเห็นไม่ควรสั่งฟ้องสลากกินแบ่งแบบ 2 ตัว 3 ตัว รวมถึงคดีจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์

อีกทั้งยังแต่งตั้งลิ่วล้อระบอบทักษิณ นายยรรยง พวงราช รมช.พานิชย์ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับบริษัทกุหลาบแก้ว ที่ซื้อขายดาวเทียมให้กับบริษัท เทมาเส็ก ของสิงค์โปร์นอกตลาด ไม่ต้องจ่ายภาษีให้ไทย ช่วยขายสมบัติชาติให้คนต่างชาติจนได้ดี รวมทั้ง นางเบญจา หลุยเจริญ รมช.พาณิชย์ แก๊งขายหุ้นชินคอร์ป โดยไม่ต้องเสียภาษีได้รับของขวัญให้มาอยู่ร่วม ครม.คอยเป็นปากเสียงให้ครอบครัวชินวัตร ได้รับต่างตอบแทนมาตลอด เช่น เป็นบอร์ด ธ.กรุงไทย กินโบนัสปีละ 2 ล้านบาท เป็นบอร์ด ปตท.

“ประเทศไทยไม่ใช่บริษัทของใครจะเอาตำแหน่งรัฐมนตรีไปยกให้เพื่อตอบแทนไม่ได้ ผมจึงไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป เพราะบุคคลเหล่านี้จะนำไปสู่การทุจริตคอร์รัปชันในโครงการอภิมหาโปรเจกต์โดยไม่ผิดกฎหมาย ไม่ต้องจ่ายภาษี จะปล่อยให้ปู้ยี่ปู้ยำต่อไปได้อย่างไร” นายชินวรณ์ กล่าว

นอกจากนี้ ยังมีพฤติกรรมเอื้อประโยชน์ให้ตระกูลของตนเอง โดยมีการเขี่ยข้าราชการที่ซื่อสัตย์สุจริตอย่าง นายถวิล เปลี่ยนศรี ให้พ้นจากเลขาสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพื่อโยก พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ออกจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่ชายคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร มาดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.แล้วหาช่องให้ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร ซึ่งเป็นลูกชายของ พล.ต.อ.ปรีดา พัฒนถาบุตร อดีต รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยเป็นเด็กหิ้วกระเป๋าให้มาดำรงตำแหน่งเลขา สมช.

“ช่วง 2 ปี 4 เดือนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกฯ พ.ต.ท.ทักษิณ สไกป์มา 34 ครั้ง ทั้งในที่ประชุม ครม.และที่ประชุมพรรคเพื่อไทย แสดงให้เห็นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ใช่นายกฯตัวจริง เป็นแค่นายกฯ หุ่นเชิด ถ้าเป็นเรื่องการเมืองจะมีนายใหญ่คอยสไกป์สั่งการ ถ้าเป็นเรื่องโยกย้ายข้าราชการเป็นเรื่องของบ้านใหญ่สั่งการ ถ้าเป็นเรื่องงบประมาณก็เป็นเรื่องของเจ๊ใหญ่สั่งมา แม้จะพยายามจะปฏิเสธว่าไม่ใช่นอมินี หรือโคลนนิง แต่พฤติกรรมที่ทำเหมือนไม่มีนายกรัฐมนตรี วันนี้แม้จะลอยหน้าลอยตาออกกฎหมายอะไรคนเป็นล้านคนก็ไม่เชื่อแล้ว เพราะพฤติกรรมต่างจากคำพูด พุทธภาษิตที่ว่า บุคคลโกหกไม่ทำความชั่วย่อมไม่มี หากทำชั่วแล้วรู้ด้วยตัวเองย่อมให้อภัยได้ แต่บุคคลที่ทำความชั่วแล้วยังเอื้อประโยชน์ให้เกิดความชั่วมากยิ่งขึ้น ต้องประหารชีวิตอย่างเดียว ผมจึงไม่ไว้วางใจให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นตัวแทนระบอบทักษิณสร้างความเสียหายให้กับบ้านเมืองตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป” นายชินวรณ์ กล่าว

ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน ลุกขึ้นใช้สิทธิพาดพิง และเย้ยว่านั่งฟังมาครึ่งวันนึกว่าพรรคประชาธิปัตย์จะมีทีเด็ดอะไร กลับเอาเรื่องปี 2549 มาอภิปราย การแต่งตั้ง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ นั้น ตนเป็นคนคัดเลือก จากที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ตนเองรู้ดีว่าใครมีความสามารถ ไม่เหมือนพวกที่ไม่รู้เรื่องตำรวจแล้วอวดรู้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ มีความสามารรถด้านการปราบปรามยาเสพติด ทำงานดี พอมีการปฏิวัติก็ถูกย้ายไปประจำที่อื่น ซึ่งตนก็แต่งตั้งให้เป็น ผบ.ตร.เพราะถูกกลั่นแกล้ง และการเอาข้อมูลปี 2549 มาอภิปรายแล้วเอ่ยชื่อ นางเบญจา นายชัยเกษม ทั้งที่ไม่ได้อยู่ในญัตติเป็นการอภิปรายที่ไร้มาตรฐาน หากจะอภิปรายบุคคลเหล่านี้ก็ควรจะใส่ชื่อเข้าไป การที่นายอภิสิทธิ์ อภิปรายเรื่องยึดทรัพย์ มีการระบุให้ทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดินนั้นเป็นคดีแพ่ง ไม่ใช่คดีอาญา

จากนั้น นายอภิสิทธิ์ ได้ใช้สิทธิพาดพิง อภิปรายตอบโต้ว่า ที่ ร.ต.อ.เฉลิม อ้างว่าใช้ตำแหน่งประธาน ก.ตร.แต่งตั้ง ผบ.ตร.นั้น ความจริงเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ หรือ ก.ต.ช.ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ไม่รู้กฎหมายแต่ชอบทำตัวอวดรู้ ทั้งที่ความจริงแล้ว ก.ต.ช.ไม่สามารถมอบหมายให้ประธาน ก.ตร.มาแต่งตั้ง ผบ.ตร.ได้ ส่วนที่อ้างว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เชี่ยวชาญด้านการปราบปรามยาเสพติด ก็ยอมรับ เพราะสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ก็ตั้งให้มาดูแลด้านนี้ และยืนยันว่าการอภิปรายไม่ได้เอาเรื่องเก่ามาพูด แต่เป็นการโยงข้อเท็จจริง เพื่อถาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถึงการบริหารแผ่นดินว่าที่เคยให้การต่อศาล แต่วันนี้มีคนไปร้องกรมสอบสวนคดีพิเศษว่าเบิกความเท็จนั้นข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ยอมชี้แจงเรื่องนี้ โดยอ้างว่าศาลตัดสินแล้วต้องเคารพ แต่ก่อนหน้านี้บอกว่าไม่ต้องเคารพศาลก็ได้ ส่วนมาตรฐานของ ร.ต.อ.เฉลิม นั้น ตนไม่ให้ความสำคัญ เป็นการอ้างจิ้งจกตัวเดียวในทำเนียบ ทั้งที่ ป.ป.ช.ก็ได้วินิจฉัยยกคำร้องไปแล้ว

ฝ่าย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ชี้แจงอีกครั้งว่า การแต่งตั้งโยกย้าย ประเด็นเลขาธิการ สมช.นั้น ร.ต.อ.เฉลิมเป็นผู้ดูแลในฐานะรองนายกฯ ด้านความมั่นคง และได้มีส่วนกำกับ ก.ต.ช.ด้วย ส่วนการโยกย้ายตำแหน่งต่างๆ ได้พิจารณาจากการเสนอของหน่วยงานตามขั้นตอน ด้านรัฐมนตรีต่างๆ ที่ถูกฝ่ายค้านกล่าวหาว่าได้รับตำแหน่งเพราะผลประโยชน์ต่างตอบแทนได้ขอใช้สิทธิพาดพิงชี้แจง โดยยืนยันว่าได้รับการแต่งตั้ง เพราะมีความรู้ความสามารถ อาทิ นางเบญจา ได้ใช้สิทธิพาดพิงชี้แจงข้อกล่าวหาได้รับแต่งตั้งเป็นบอร์ดกรุงไทย และ ปตท.ว่า ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่ นายกรณ์ จาติกวณิช นั่ง รมว.คลัง และเข้าไปในฐานะผู้แทนกระทรวงการคลัง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการอภิปรายสมาชิกพรรคเพื่อไทยจะคอยประท้วงอยู่ตลอด หากฝ่ายค้านอภิปรายก้าวล่วงโจมตีถึง พ.ต.ท.ทักษิณ และวุฒิภาวะของนายกรัฐมนตรี โดยอ้างว่าไม่เกี่ยวข้องกับญัตติ ขณะเดียวกัน ฝ่ายค้านก็แสดงความไม่พอใจกับคณะกรรมการตรวจสอบคลิปวิดีโอที่มีนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย เป็นประธาน ไม่ยินยอมให้มีการนำคลิปวิดีโอที่เตรียมไว้มาใช้ประกอบการอภิปราย ทั้งที่คลิปดังกล่าวเคยได้รับการอนุญาตให้เปิดมาแล้วในการอภิปรายกระทู้ ทำให้มีการท้วงติงว่าประธานสองมาตรฐาน

ด้าน นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ครั้งนี้ตนจะอภิปรายถึงความไร้ความสามารถของนายกรัฐมนตรี แต่มาเป็นนายกฯ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองและประเทศชาติ ตนมองไม่เห็นจุดดีของนายกรัฐมนตรี ความไม่ฉลาด ไม่มีภูมิความรู้ และการไม่พัฒนา ผมขอตำหนิว่าไม่มีการเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง นายกฯ พัฒนานิดหน่อยตรงแอบอ่านโพยอย่างมีศิลปะ ตรงนี้ต้องยอมรับว่าเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้ แต่ต้องยอมรับว่ารัฐมนตรีรักทุกคน เพราะไม่มีใครชอบผู้นำที่ฉลาด สื่อต่างชาตินำเสนอเรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ สไกป์มายังที่ประชุม ครม.ของพรรคเพื่อไทย และกดปุ่มสั่งการตามอำเภอใจในทุกรูปแบบ แต่ในข้อเท็จจริง พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่สามารถสั่งการ ส.ส.ได้ เพราะก็มีประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกำกับอยู่ แต่ตนแปลกใจที่สมาชิกพรรคเพื่อไทยยินดีที่จะให้กำกับ

“ดังนั้นเขาถึงบอกว่ามีนายกฯ สองคน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถูกครอบงำ นายกฯ เป็นดาวพระเคราะห์ ไม่ใช่ดาวพระฤกษ์ ไม่มีแสงสว่างในตัว วันนี้ตนไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี เพราะปล่อยให้คนในครอบครัวกำกับ ซึ่งทางกฎหมายทำไม่ได้ เนื่องจากเป็นนักโทษ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ก็ทราบดี จึงขอให้ช่วยแนะนำด้วย เพราะในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีมีประมวลจริยธรรมว่าด้วยจริยธรรมข้าราชการการเมืองกำกับอยู่” นายนิพิฏฐ์ กล่าว

นายนิพิฏฐ์ กล่าวต่อว่า คนทั่วไปอาจคิดว่าเงิน 4.6 หมื่นล้านที่ศาลพิพากษาให้ตกเป็นเงินของแผ่นดิน ไม่ใช่เงินของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพียงคนเดียว แต่เป็นของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ด้วยจำนวน 982 ล้านบาท เมื่อศาลตัดสินแล้ว นายกฯ ไม่พอใจการตัดสิน เพราะไม่รอบคอบ จึงขอให้พิจารณาใหม่โดยยื่นอุทธรณ์ในที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาฯ และยังปล่อยให้ยื่นร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งจะทำให้มีการคืนเงิน 4.6 หมื่นล้าน เพื่อจะได้เงิน 982 ล้านบาทคืน นอกจากนี้ยังใช้กองทัพเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาของ พ.ต.ท.ทักษิณ จากคลิปเสียงสนทนาระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ และ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมช.กลาโหม โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่าต้องการกลับบ้าน จึงเป็นที่มาที่ให้นายกฯดำรงตำแหน่ง รมว.กลาโหม เพื่อวางแผนออกกฎหมายนิรโทษกรรมเป็นพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) นำ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้าน

จากนั้น ประธานที่ประชุม ได้เปิดโอกาสให้ ครม.ได้ชี้แจง โดย นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ยืนยันว่าการประชุม ครม.ไม่มีการสไกป์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ แน่นอน ขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พานิชย์ ยืนยันว่า นายกฯ มีภาวะความเป็นผู้นำ และไม่ใช่คนที่ไร้ความสามารถ และได้พาดพิงด้วยว่ารัฐบาลนี้ก็ไม่ได้จัดตั้งในค่ายทหาร

จากนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้ลุกขึ้นยืนยันว่า คัดเลือกคณะรัฐมนตรีด้วยตนเอง โดยดูจากความรู้ความสามารถ และได้กำกับนโยบายการทำงานเป็นไปตามที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา และยืนยันมีคณะรัฐมนตรีชุดเดียวมีตนเองเป็นนายกรัฐมนตรี

“ส่วนข้อกล่าวหาว่าขาดความเป็นตัวของตัวเอง ขาดสติปัญญา ให้ใครมาสั่งการกดปุ่ม จึงต้องเรียนว่า ถ้าดิฉันไม่เป็นตัวของตนเอง วันนี้ 2 ปีกว่าแล้ว ที่ดิฉันบริหารประเทศในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ซึ่งเจอปัญหาต่างๆ มากมาย ทั้งปัญหาอุทกภัย ปี 2554 วิกฤตเศรษฐกิจโลก ก็สามารถฟันฝ่าไปได้ และทำให้เศรษฐกิจกลับพลิกฟื้นขึ้นมา ในฐานะนายกฯ ก็คือผู้รับผิดชอบโดยกฎหมาย ผู้ที่รับผิดชอบผลงานรัฐบาล รัฐมนตรี หรือข้าราชการทุกคน ก็มีกฎหมายกฎระเบียบที่ยึด ซึ่งดิฉันเชื่อว่าไม่มีใครจะยอมให้กดปุ่มได้อยู่แล้ว และการที่นายกฯ มีที่ปรึกษาเป็นเรื่องไม่แปลก และนายกฯทุกคนที่ผ่านมาก็มีที่ปรึกษา แต่ที่สำคัญการตัดสินใจอยู่ที่นายกฯ ในฐานะเป็นนายกฯตามรัฐธรรมนูญ ก็ได้ใช้ ครม.ตัดสินปัญหามา 2 ปีแล้ว ส่วนที่บอกว่าขาดความรู้ขาดสติปัญญา หรือท่านสมาชิกได้กล่าวกระทั่งดิฉันโง่ คงไม่ไปตอบในประเด็นนั้น เพราะคงยากที่จะอธิบาย ถ้าไม่มีใครเชื่อ เพราะว่าเราไม่เคยได้ร่วมงานกันอย่างจริงจัง แต่ดิฉันเชื่อว่าคณะรัฐมนตรีและข้าราชการที่ได้ร่วมงาน ย่อมรู้ดีว่าดิฉันเน้นในการทำงานและผลงานที่จะแก้ปัญหาให้ประชาชน” น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว

ส่วนข้อกล่าวหา การไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย และไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของ ป.ป.ช.จงใจให้เกิดการทุจริตทั้งระบบ ยืนยันข้อกล่าวหานี้ไม่เป็นความจริง รวมถึงนโยบายเอื้อให้เกิดการทุจริต เพราะรัฐบาลได้มีการแก้ไขและติดตามมาโดยตลอด ก็ได้ร่วมมือในการปราบทุจริตคอร์รัปชันกับทุกภาคส่วน ซึ่งผู้นำฝ่ายค้านยังเคยยอมรับว่าทุกยุคสมัย มีการทุจริตคอร์รัปชัน รัฐบาลนี้ได้มีการตรวจสอบทุจริตหลายโครงการ อย่างเช่น โครงการก่อสร้างโรงพักตำรวจ โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์อาชีวะ หรือแม้กระทั่งที่ดินเขาแพง จ.สุราษฎร์ธานี อีกทั้งรัฐบาลดำเนินการตามกฎหมายและข้อแนะนำของ ป.ป.ช.








กำลังโหลดความคิดเห็น