หน.ปชป.เปิดหัวซักฟอก ชี้คอร์รัปชันถึงร้อยละ 30-40 กว่า 2.5 แสนต่อปีทำวิกฤต ฉะนายกฯ ปล่อยพอใจพวกได้ประโยชน์ ส่งผล ปชช.ออกมาต้าน อัดทำยิ้มแต่ชาวนายิ้มไม่ออก ย้อนรัฐไม่รับอำนาจศาล ที่โกหกกู้น้ำผ่านทำนิ่ง ตอกรู้เห็นล้างผิดหวังเงินคืน ถอยไม่จริง สาวไส้แหลไม่ได้ทรัพย์จากพี่ ย้ำหมดเวลาบริหาร “ปู” โต้ตามบท ติงไม่ยื่นหลักฐานให้ผู้ถูกกล่าวหา โวเจอปัญหา ศก.โลก-อุทกภัย แต่จีดีพีขยายตัว รายได้เพิ่ม ยันเคารพทุกสถาบัน แจงโกงลดลง ล้างผิดไม่เกี่ยว กม.การเงิน
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อภิปราย
วันนี้ (26 พ.ย.) ที่รัฐสภา ประชุมสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายไม่ไว้วางใจ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน อภิปรายเปิดประเด็นเป็นคนแรกว่า วิกฤตบ้านเมืองขณะนี้มาจากทุจริตคอร์รัปชัน โดยผู้ประกอบการต้องเสียเงินใต้โต๊ะ ตัวเลขการทุจริตที่เดิมคือร้อยละ 20 วันนี้หอการค้าแห่งประเทศไทย บอกว่าตัวเลขทุจริต ยุคนี้คือร้อยละ 30-40 หรือคิดมูลค่าเป็นเงินกว่า 2.5 แสนต่อปี เปรียบเทียบ สามารถนำไปสร้างรถไฟฟ้าได้หลายเส้นทาง หรือเพิ่มพื้นที่ชลประทานทั่วประเทศ จ้างครูได้ 1 ล้านคน แต่ที่เลวร้ายคือได้ทำลายระบบคุณธรรมและนายกฯ ก็ปล่อยให้เกิดการทำลายระบอบนิติรัฐ นิติธรรม เพราะนายกฯพอใจให้สถานการณ์เช่นนี้เพราะผลประโยชน์ทางธุรกิจและการเมือง และเอื้อประโยชน์ให้ตัวเอง ครอบครัว และพวกพ้อง
ผู้นำฝ่ายค้านอภิปรายต่อว่า นายกฯ ปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ จึงทำให้เกิดปรากฏการณ์ เมื่อวันที่ 24 พ.ย. ที่คนออกมาชุมนุมเพราะทนเรื่องทั้งหมดไมได้ ประกอบการกับการไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ หลังการตัดสินเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มาของวุฒิสภา และการออกร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จึงเป็นที่มาของวิกฤตศรัทธา ซึ่งนายกฯจะต้องตอบคำถาม เพราะเป็นศูนย์กลางการทุจริตและการใช้อำนาจไม่ชอบ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ตั้งแต่ต้นเขายันปลายเขา อาทิ นโยบายจัดซื้อจัดจ้าง การเตรียมการเลี่ยงวิธีงบประมาณ การวางแผนกลไกลการตรวจสอบ เช่น ป.ป.ช., ป.ป.ท., กระบวนการยุติธรรม, การตรากฎหมายเอื้อประโยชน์ในการทุจริต รวมทั้งยังมีพฤติกรรมจับประเทศและประชาชนเป็นตัวประกัน นอกจากนี้ การบริหารประเทศทำให้ประชาชนมีหนี้สิน ประกอบกับข้าวของแพง
นายอภิสิทธิ์อภิปรายต่อว่า การทุจริตในเรื่องจัดซื้อจัดจ้าง อาทิ เรื่องน้ำมีการออก พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 ล้านบาท เพื่อหลีกเลี่ยงวิธีงบประมาณ สุดท้าย ศาลรัฐธรรมนูญก็ให้ผ่าน วันนั้นท่านยอมรับ ไม่เห็นออกมาคัดค้านอย่างเช่นตอนนี้ อีกทั้งนายกฯ ยังพูดเท็จในศาล เพราะอ้างว่าการออก พ.ร.ก.เพราะเป็นเรื่องเร่งด่วน สุดท้ายก็ใช้เงินไม่ทัน เดินหน้า นอกจากนี้ยังออก พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท เพื่อต้องการปลีกเลี่ยงวิธีงบประมาณ ส่วนเรื่องโครงการรับจำนำข้าว ขณะนี้รัฐบาลขาดทุน 4 แสนล้านบาท ขณะที่ชาวนาได้เงิน 2 ปี ไม่ถึง 2 แสนล้านบาท และเงินที่เหลือไปอยู่ในมือคนอื่นโดยเฉพาะพวกพ้องของท่านผ่านโครงการ เช่น การทำข้าวถุง การซื้อถูกขายแพง จีทูจีปลอม ที่ผ่านมาไม่เห็นนายกฯ เคยจัดการ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการอภิปรายของนายอภิสิทธิ์อยู่นั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้พยักหน้ารับฟังพร้อมกับยิ้ม ทำให้นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เวลานี้ท่านนายกฯ ยังสามารถยิ้มได้ แต่ชาวนาทุกคนยิ้มไม่ออก เพราะนโยบายที่ล้มเหลว
ผู้นำฝ่ายค้านกล่าวต่อว่า การออกนิรโทษกรรมนั้นคนที่เกี่ยวข้องรู้เห็นเป็นใจกันหมด รวมทั้งนายกฯ พยายามจะอ้างเป็นเรื่องสภาฯ ไปทำในกรรมาธิการปรองดอง รัฐบาลเป็นใจโดยขยายการประชุมสภาฯออกไปเป็นเดือน เพื่อหาทางทำเรื่องนี้ รวมทั้งแก้ รัฐธรรมนูญทั้งฉบับมาจนถึง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ก็ใช่เสียงข้างมากผลักดันจนผ่านสภาฯ และก็อ้างว่ากฎมายไม่ก่อภาระผูกพันในเรื่องทรัพย์สิน ทั้งที่หากนิรโทษกรรมคดีที่เกี่ยวกับคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ที่เกี่ยวกับการยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท ถ้าผ่านไปแล้วเจ้าของทรัพย์ก็สามารถร้องต่อศาลขอคืนได้ หนึ่งในนั้นมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ร่วมอยู่ด้วยเพราะมีเงินอยู่ 2 บัญชีที่ถูกยึดไปเพราะศาลมองว่าไม่ใช่เงินนายกฯ แต่เป็นเงินของ พ.ต.ท.ทักษิณ แม้บอกว่าถอยกฎหมายฉบับนี้แล้ว แต่ไม่บอกความจริงประชาชน นายกฯ ไม่เคยบอกว่ากฎหมายไม่เหมาะสม ดีแต่พูดจาให้ร้ายคนอื่นว่าไม่ให้ข้อเท็จจริง ขอให้นายกฯ ตอบมาเลยว่า คตส.มีคดีอะไรบ้างไม่เกี่ยวกับการทุจริต และสรุปทรัพย์สินถูกยึดไปมีเงินของ น.ส.ยิ่งลักษณ์หรือไม่
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า นายกฯ ไปให้การต่อศาล อ้างว่าไม่ได้ทรัพย์จากพี่ชาย แต่เป็นการซื้อหุ้น 20 ล้านหุ้นมูลค่า 20 ล้านบาท ชำระโดยเอาเงินปันผลไปให้ แต่ปรากฏว่างวดแรก 9 ล้านบาท แปลว่าเหลือหนี้อีก 11 ล้านบาท งวด 2 เงินปันผล 13.5 ล้านบาท ไปเขียนเช็ค 13.5 ล้านบาท แต่ไปขีดฆ่าใหม่เป็น 11 ล้านบาท โดยอ้างว่าผิดพลาด แล้วไปบอกศาลอีก 2.5 ล้านบาทให้หลานไปซื้อนาฬิกา ศาลไม่เชื่อ ตนก็ไม่เชื่อเพราะดูบัญชีทรัพย์สิน มีนาฬิกา 9 เรือน มูลค่า 1.8 ล้านบาท ขณะที่นาฬิกามูลค่า 2.5 ล้านบาทไปอยู่ไหน นายกฯ อย่าให้คนอื่นตอบ นอกจากนี้ยังมีเงินปันผลอีก 60 ล้านบาท อ้างว่าบังเอิญไปกู้เงิน ไปลงทุนทำสนามบอล สระว่ายน้ำ ซื้อทองคำแท่ง 13 ล้านบาท เครื่องเพชร 11 ล้านบาท เก็บไว้เป็นเงินตราต่างประเทศ อีก 8 ล้านบาท สำรองเงินใช่ที่บ้าน 6 ล้านบาท ศาลถามว่าเงินดังกล่าวมีหลักฐานหรือไม่ ก็อ้างว่าไม่มีหลักฐาน แต่ศาลก็ไม่เชื่อ จะจ่ายเงิน ก็ไปออกเช็คเป็นเงินสดไม่ต้องรายงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) อยากถามว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ หากเป็นเรื่องจริงบอกพวกตนว่าทำไมไม่ตรงกับที่แสดง มีการไปร้องดีเอสไอ เรื่องเบิกความเท็จ อยากถามว่าคดีไปถึงไหน และ 2 ปีที่ผ่านมาหลายคดีก็หายไป เพราะไม่สามารถอธิบายเรื่องของทรัพย์สิน และการซื้อหุ้นได้
“เสร็จการอภิปรายนายกฯไปตัดสินใจได้เลย จะทำให้สถานการณ์บ้านเมืองออกจากวิกฤตนี้ได้ เพื่อน ส.ส.ที่อยู่ซีกรัฐบาลที่ยกมือให้กฎหมายนิรโทษกรรมไป 300 กว่าคน วันนี้จะเอื้อมมือเข้าไปแก้ปัญหาให้ประชาชนเชื่อถือท่านได้อีกหรือไม่ หมดเวลาแล้วกับการบริหารแผ่นดินแบบนี้ ถึงเวลามาช่วยกันคิดจะเอาระบอบประชาธิปไตยและกลไกของรัฐสภาเดินหน้าปฏิรูปประเทศได้อย่างไร ผมไม่ไว้วางใจให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้เป็นนายกฯ ต่อไป”
ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นชี้แจงทันทีว่า ส่วนตัวพร้อมชี้แจงในทุกประเด็นไม่ว่าจะเป็นการบริหารราชการล้มเหลว บกพร่องไร้ประสิทธิภาพ ไร้ความสามารถ ซึ่งพร้อมชี้แจงข้อกล่าวหาทั้งหมด แต่การอภิปรายครั้งนี้เป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรง เปรียบเหมือนถูกตำรวจตั้งข้อหา แต่กลับเก็บข้อมูลพยานหลักฐานไว้กับตำรวจเอง ซึ่งไม่เป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหา ในฐานะที่เป็นหัวหน้ารัฐบาลตลอด 2 ปี โดยข้อกล่าวหาพฤติกรรมที่ส่อไปในทางทุจริต จงใจฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งเนื้อหาต่างๆ ทางฝ่ายค้านไม่ได้ส่งมา แต่จะพยายามชี้แจงให้ครบถ้วนครอบคุลมทุกประเด็น แม้ไม่มีโอกาสก็จะหาเวลาชี้แจงต่อไป
น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวถึงการบริหารงานด้านเศรษฐกิจว่า นับจากรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ ได้เผชิญกับความผันผวนและวิกฤตเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวต่ำมากที่สุด ในรอบ 4 ปี ค่าเงินบาท สูงสุดในรอบ 16 ปี กระทบต่อการส่งออกของประเทศ ในภูมิภาค ขณะเดียวกัน รัฐบาลได้พบกับวิกฤติอุทกภัยอย่างหนัก แต่รัฐบาลยังสามารถทำให้จีดีพี ขยายตัวได้ร้อยละ 6.5 รายได้ต่อหัวประชาชนเพิ่มขึ้นในปี 2554 จาก 155,926 เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปี 2556 อยู่ที่ 174,658 บาท
ส่วนข้อกล่าวหาว่าไร้ภาวะผู้นำ ไร้สำนึก ไร้ความรับผิดชอบ ต่อสภาและประชาชน ลอยตัวเหนือปัญหาต่างๆ รวมถึงสมรู้ร่วมคิดกับพวกพ้อง ข่มขู่ก้าวก่ายสถาบันหลักของประชาธิปไตยนั้น ขอเรียนว่า ทั้งสถาบันนิติบัญญัติ องค์กรอิสระ ตุลาการ ตนเองให้ความเคารพ และตลอด 2 ปี รัฐบาลก็ให้ความเคารพในหลักประชาธิปไตย ปฏิบัติตามหลักประเพณีมาโดยตลอด แม้จะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน โดยรัฐบาลพยายามให้ประชาชนมีส่วนร่วมแสดงออกความคิดเห็นภายใต้ระบอบประชาธิปไตย และดูแลประชาชนด้วยความอดทนด้วยหลักข้อกฎหมาย และหลักสันติ ทั้งนี้รัฐบาลนี้มีหน้าที่รักษาประชาธิปไตย ปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
สำหรับปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในข้อที่ 8 มีการแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง ภาครัฐมีการรณรงค์ปลูกจิตสำนึก เปิดตัวศูนย์ต่อต้านการทุจริตประจำกระทรวง เพื่อให้แต่ละหน่วยงานมีการตรวจสอบ พร้อมกันนี้ได้เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนมามีส่วนร่วมตรวจสอบ ทำให้ดัชนีภาพลักษณ์ การทุจริตคอร์รัปชันของประเทศไทยปี 2554 อยู่ที่ 3.4 และปี 2555 อยู่ที่ 3.7
ส่วนกรณียึดทรัพย์ที่ถูกกล่าวหา ซึ่งคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองถึงที่สุดแล้ว และให้เป็นเงินของแผนดินแล้ว เมื่อคดีถึงที่สุด ข้อเท็จจริงใดที่ใช้ในการต่อสู้ เมื่อศาลไม่รับฟังก็จะถือว่าเรื่องใดเป็นเรื่องจิงหรือเท็จคงจะไม่ขอกล่าว ถึงแม้ว่าอยากจะกล่าวถึงก็ไม่มีประโยชน์ เพราะกติกาของบ้านเมืองถือว่ายุติโดยคำพิพากษา และกฎหมายนิรโทษกรรม ที่กล่าวหาก็ไม่มีบทบัญญัติใดที่ให้คืนทรัพย์สินแก่ผู้ใดทั้งสิ้น ดังนั้นยืนยันว่ากฎหมายนิรโทษกรรมไม่เกี่ยวข้องกับกฎหมายการเงิน ซึ่งตนเองประกาศเจตนารมณ์ไปแล้ว และวันนี้วุฒิสภาก็ไม่รับร่างดังกล่าวแล้ว