ผ่าประเด็นร้อน
คำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อบ่ายวันที่ 20 พฤศจิกายน เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ว่าเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย รวมไปถึงเข้าข่ายการให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองในลักษณะที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญตามมาตรา 68 อีกทั้งในกระบวนการแก้ไขก็เป็นไปแบบรวบรัด ปิดบังบิดเบือนอย่างชัดเจน
ในคำแถลงของศาลรัฐธรรมนูญได้ชี้ชัดให้เห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ยังมีเจตนาเพื่อ “ทำลายระบบการถ่วงดุล” ตรวจสอบกลั่นกรองของวุฒิสภา โดยนำไปสู่ “สภาผัวเมีย” ผิดไปจากเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญยังชี้ให้เห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นดังกล่าวยังมีการ “สอดไส้” ผิดไปจากร่างเดิมที่เคยเสนอไปก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกันยังมีการ “เสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน” ซึ่งถือว่ามีความผิด ผิดต่อคำปฏิญาณที่สมาชิกรัฐสภาต้องทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์
นั่นคือคำพิพากษาชี้ขาดของศาลรัฐธรรมนูญที่สรุปในสาระสำคัญในเบื้องต้น ซึ่งยังไม่นับรวมที่ศาลฯ ได้ย้ำให้เป็นบรรทัดฐานว่าคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันทุกองค์กร รวมถึงรัฐสภาด้วย
ขณะเดียวกันยังได้สอนให้เห็นถึงคำว่า “เสียงข้างมาก” ว่าต้องมีเจตนาเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่
เป็นคำพิพากษที่ “ตอกฝาโลง” กดให้ “ระบอบทักษิณ” จมดิน จนไม่อาจโงหัวจึ้นมาได้อีก เพราะนี่คือหายนะอย่างแท้จริง ทั้งรัฐบาล พรรคเพื่อไทย และสมาชิกรัฐสภา “ขี้ข้า” ทั้ง 312 คน ที่ร่วมกันประกอบ “พิธีกรรมแบบโจร” ไม่เหลือความชอบธรรมใดๆ อีกเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประธานรัฐสภา สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ และประธานวุฒิสภา นิคม ไวยรัชพานิช ที่มีทางเดียวในตอนนี้ก็คือ ต้อง “ลาออก” เท่านั้น และในวันนี้ไม่ต้องมาพูดถึงเรื่องการ"ไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ “เพื่อกลบเกลื่อน” แต่ให้เตรียมยอมรับ “ชะตากรรม” ที่กำลังตามมาอีกหลายกระทงให้ดีก็แล้วกัน
แม้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะไม่ได้ตัดสิทธิ ส.ส.และ ส.ว.ทั้ง 312 คน และประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภาก็ตาม แต่คนพวกนี้ถือว่า “หมดสภาพ” หมดความชอบธรรมอย่างสิ้นเชิงแล้ว เพราะพฤติกรรมที่ผ่านมาระหว่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการกระทำที่ “มิชอบ” ในทุกขั้นตอน พฤติกรรมไม่ต่างจาก “โจร” เป็นการรวมหัวสมคบกัน “ปล้นอำนาจ” ไปจากประชาชน คนพวกนี้ไม่สมควรที่จะอยู่ในตำแหน่งสมาชิกรัฐสภาอันทรงเกียรติอีกต่อไปแม้แต่นาทีเดียว อย่าบังอาจกินเงินเดือนของประชาชนต่อไป
อย่างไรก็ดี นี่คืออีกหนึ่งความหายนะของระบอบทักษิณ หลังจากก่อนหน้านี้เพิ่งแสดงให้เห็น “ธาตุแท้” ผ่านทางร่างกฎหมายล้างผิดให้คนโกง ภายใต้ชื่อว่าร่างพระราชบัญญัตนิรโทษกรรมไปแล้วมาหมาดๆ ในคราวนั้นได้ก่อให้เกิดกระแส “เกลียดทักษิณ” และ “เกลียดชินวัตร” เพิ่มขึ้นอย่างพรวดพราด แผ่ขยายลุกลามออกไปทั่วประเทศ และคราวนี้ก็เป็นอีกดอกหนึ่งที่ซ้ำเข้ามาติดๆ กัน เป็นการแจกแจงให้เห็นว่า คนพวกนี้มีเจตนาทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวอย่างไร ใช้เสียงข้างมากเป็นเครื่องมือในการแสวงหาประโยชน์อย่างไรบ้าง
แม้ว่าในคำพิพากษาไม่ได้ยุบพรรคเพื่อไทย ซึ่งหากมองอีกมุมหนึ่งก็ถือว่าดีเหมือนกัน เพราะสามารถ “ขจัดเงื่อนไข” นำไปสร้างกระแสถูกกลั่นแกล้งขึ้นมาอีก ทำให้คนพวกนี้หมดความชอบธรรมลงในเรื่อยๆ ด้วยพฤติกรรมด้วยตัวของมันเอง
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นล้วนถือว่าเป็น “หายนะ” ของระบอบทักษิณ ซึ่งก็ต้องหมายรวมถึงรัฐบาลที่นำโดย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เวลานี้เปรียบเหมือน "เป็ดง่อย"เข้าไปทุกทีแล้ว เพราะถือว่าทุกอย่างล้มเหลวในทุกด้าน ขาดความชอบธรรม ขาดความน่าเชื่อถือจากสังคมส่วนใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะพยายามยื้อเวลาออกไปทุกทางรวมทั้งการใช้วิธีการแบบเดิมนั่นคือใช้ “มวลชนเสื้อแดง” ออกมาชุมนุมสนับสนุนรัฐบาล แต่นาทีนี้มันไม่ขลังอีกแล้ว ทุกอย่างกำลังถดถอยลงไป และที่สำคัญแม้ว่ามีอำนาจ “แต่บริหารไม่ได้”
ความหายนะดังกล่าวของระบอบทักษิณจะไปกล่าวโทษใครไม่ได้เป็นอันขาด ต้องโทษตัวเอง ไม่เคยสรุปบทเรียน ทุกอย่างล้วนมาจากความ “ถ่อยเถื่อน” ของตัวเอง ทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน ไม่เคยใช้เสียงข้างมากที่ประชาชนมอบให้ไปใช้เพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ ตรงกันข้ามกลับนำไปอ้างใช้ประโยชน์ส่วนตัว และพวกพ้องในครอบครัวเท่านั้น!!