แน่นอนว่าสำหรับสันดานโจรขนานแท้จะไม่มีวันยอมรับผิดหรือรับสารภาพผิดเป็นอันขาด แม้จะมีหลักฐานคาหนังคาเขาก็อย่าหวังที่จะยอมรับ หากเปรียบเทียบกับเครือข่าย "ระบอบทักษิณ"ในเวลานี้ที่มีสถานะไม่ต่างจาก "พวกแรก" ที่แม้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยตามพฤติกรรมและหลักฐานตามหลักการชัดแจ้งว่า "มีความผิด"คนพวกนี้ก็ยังตะแบงเถียงว่าไม่ใช่ ถูกกลั่นแกล้ง มีการตั้งธงเอาไว้ล่วงหน้า หรือว่าอยู่ภายใต้การบงการของ "อำนาจมืด" พร้อมทั้งยังปากแข็งประกาศว่าจะเดินหน้าต่อไปไม่มีถอย
ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ การประกาศไม่ยอมรับอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ เออ เอากับโจรแก๊งนี้ซี !!
อย่างไรก็ดีในความเป็นจริงนับจากนี้เป็นต้นไปรับรองว่า "ไม่สนุก"อย่างที่คิดเอาไว้แน่นอน เพราะจะมีรายการเช็กบิลตามมาเป็นพรวน ซึ่งก็ต้องผ่านทางเส้นทางตามกระบวนการทางกฎหมาย รวมไปถึงผ่านทาง "พลังมหาชน"ที่กำลังตื่นตัวเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง และเชื่อว่าผลจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมาจะทำให้บรรยากาศการขับไล่รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เป็นเครือข่ายระบอบทักษิณ ที่กำหนดดีเดย์ในวันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายนจะต้องคึกคักขึ้นอีกหลายเท่า
มีการวิเคราะห์ตรงกันว่า ถ้าใครเป็น"แก๊งโจรในสภา" และคนในรัฐบาล ก็ต้องปากแข็งยืนยันเป็นเสียงเดียวกันเดินหน้าต่อไป ต้องยืนยันว่า "ศาลฯไม่มีอำนาจ ไม่ยอมรับอำนาจศาลฯ"ทั้งที่รู้ว่านี่คือเส้นทางนรก แต่ก็ต้องถูกบังคับให้เดินไปแบบนี้แหละ ไม่มีทางเลือกแล้ว เพราะสิ่งที่โจรแก๊งนี้หวังไว้ลึกๆในตอนนี้ก็คือหวังในพลังของ "สมาชิกร่วมแก๊ง"ที่มีอยู่ว่าจะยั่งยืนและยังมากพอที่จะต่อรองข่มขู่ได้ จังจ้างวานแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เหมือนแต่ก่อน แม้ว่าจะเริ่มหวั่นไหวแต่ก็ต้องกัดฟันเดินหน้าต่อไป
อย่างไรก็ดีเมื่อพิจารณาจากความเป็นจริง รับรองได้ว่าไม่มีทางเป็นเช่นนั้นอย่างเด็ดขาด เพราะเท่าที่มองเส้นทางข้างล้วนตีบตัน ขณะที่เส้นทาวถอยหลังก็ทำไม่ได้ ทุกอย่างล้วนมาจากผลพวงของตัวเองที่ก่อขึ้นด้วยความเหิมเกริมทั้งสิ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก่อนอื่นก็คือแรงกระเพื่อมที่เกิดขึ้นตามมาเฉพาะกรณีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุชัดว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภาขัดรัฐธรรมนูญ และยังมีพฤติกรรมเข้าข่ายการได้มาซึ่งอำนาจที่ขัดกับวิถีทางตามรัฐธรรมนูญ มีเจตนาทำลายระบบการถ่วงดุล ตรวจสอบของวุฒิสภา นอกจากนี้ในขั้นตอนการลงคะแนนโหวตก็ยังมีการเสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่มิชอบ ไม่มีความซื่อสัตย์ต่อคำปฏิญาณในฐานะสมาชิกรัฐสภา นี่ว่ากันเฉพาะเท่าที่จำได้
เพียงแค่นี้ก็ทำให้สมาชิกรัฐสภา ทั้ง 312 คนที่ลงมติสนับสนุนร่างแก้ไขดังกล่าวหมดสภาพ มีฐานะไม่ต่างจาก "แก๊งโจร"ที่ใช้อาคารรัฐสภาเป็นที่ซ่องซุมเท่านั้น ขณะที่ตัวประธานรัฐสภาคือ สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ และ ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่เป็นรองประธานรัฐสภา นิคม ไวยรัชพานิช นั้นไม่ต้องพูดถึงเวลานี้รอเพียงแค่นับถอยหลังถูกถอดถอนหรือรอ "เดินเข้าคุก"เท่านั้นเอง
ขณะที่ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นาทีนี้ถือว่า "โคม่า"หลังจากที่"ดันทุรัง"นำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญกรณีดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าฯทั้งที่มีเสียงทักท้วง และมีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญได้ตีความและศาลฯก็รับคำร้องไว้พิจารณาแล้ว แต่เธอเลือกที่จะทำตาม"คำสั่ง"ของคนอื่นและเชื่อมั่นในพลังของเครือข่ายตัวเองที่มีอยู่รอบตัวมากมาย ยอมทำเรื่อง "มิบังควร"นำร่างกฎหมายที่มีมลทินให้ทรงลงพระปรมาภิไธย ซึ่งตามมารยาทเฉพาะหน้าก็ต้องประสานงานเพื่อนำเรื่องกลับคืนมาก่อน
ขณะเดียวกันเมื่อร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภามิชอบ มันก็ทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตราอื่น เช่น มาตรา 190 มาตรา 68 ก็ส่อไปในทางมิชอบเช่นเดียวกัน เพราะทั้งเนื้อหาและขั้นตอนวิธีปฏิบัติไม่ต่างกัน นอกจากนี้ยังมีรายงานเข้ามาอีกว่ากรณีของร่างพระราชบัญญัติเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทที่เพิ่งผ่านวาระที่ 3 ในขั้นตอนวุฒิสภาไปแล้ว ปรากฏคลิปให้เห็นชัดเจนว่ามีการเสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน ซึ่งถ้าเป็นจริงก็ "ส่อโมฆะ" เพราะมีบรรทัดฐานจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเอาไว้ชัดเจนแล้ว
ล่าสุดยังมีข่าวร้ายเพิ่มเติมเข้ามาก็คือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.)ได้มีมติตั้งกรรมการสอบสวน ประธานรัฐสภา สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานวุฒิสภา นิคม ไวยรัชพานิช รวมทั้งสมาชิกรัฐสภาทั้ง 312 คนกรณีร่วมกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญมิชอบดังกล่าวแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นถือว่าเริ่มนับถอยหลัง เพราะทั้งรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และองคาพยพของเครือข่ายทักษิณ มันเริ่มตีบตัน จะเดินหน้าก็ไม่ได้ จะถอยหลังก็ไม่ได้ เพราะหายนะทุกทาง !!
ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ การประกาศไม่ยอมรับอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ เออ เอากับโจรแก๊งนี้ซี !!
อย่างไรก็ดีในความเป็นจริงนับจากนี้เป็นต้นไปรับรองว่า "ไม่สนุก"อย่างที่คิดเอาไว้แน่นอน เพราะจะมีรายการเช็กบิลตามมาเป็นพรวน ซึ่งก็ต้องผ่านทางเส้นทางตามกระบวนการทางกฎหมาย รวมไปถึงผ่านทาง "พลังมหาชน"ที่กำลังตื่นตัวเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง และเชื่อว่าผลจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมาจะทำให้บรรยากาศการขับไล่รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เป็นเครือข่ายระบอบทักษิณ ที่กำหนดดีเดย์ในวันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายนจะต้องคึกคักขึ้นอีกหลายเท่า
มีการวิเคราะห์ตรงกันว่า ถ้าใครเป็น"แก๊งโจรในสภา" และคนในรัฐบาล ก็ต้องปากแข็งยืนยันเป็นเสียงเดียวกันเดินหน้าต่อไป ต้องยืนยันว่า "ศาลฯไม่มีอำนาจ ไม่ยอมรับอำนาจศาลฯ"ทั้งที่รู้ว่านี่คือเส้นทางนรก แต่ก็ต้องถูกบังคับให้เดินไปแบบนี้แหละ ไม่มีทางเลือกแล้ว เพราะสิ่งที่โจรแก๊งนี้หวังไว้ลึกๆในตอนนี้ก็คือหวังในพลังของ "สมาชิกร่วมแก๊ง"ที่มีอยู่ว่าจะยั่งยืนและยังมากพอที่จะต่อรองข่มขู่ได้ จังจ้างวานแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เหมือนแต่ก่อน แม้ว่าจะเริ่มหวั่นไหวแต่ก็ต้องกัดฟันเดินหน้าต่อไป
อย่างไรก็ดีเมื่อพิจารณาจากความเป็นจริง รับรองได้ว่าไม่มีทางเป็นเช่นนั้นอย่างเด็ดขาด เพราะเท่าที่มองเส้นทางข้างล้วนตีบตัน ขณะที่เส้นทาวถอยหลังก็ทำไม่ได้ ทุกอย่างล้วนมาจากผลพวงของตัวเองที่ก่อขึ้นด้วยความเหิมเกริมทั้งสิ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก่อนอื่นก็คือแรงกระเพื่อมที่เกิดขึ้นตามมาเฉพาะกรณีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุชัดว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภาขัดรัฐธรรมนูญ และยังมีพฤติกรรมเข้าข่ายการได้มาซึ่งอำนาจที่ขัดกับวิถีทางตามรัฐธรรมนูญ มีเจตนาทำลายระบบการถ่วงดุล ตรวจสอบของวุฒิสภา นอกจากนี้ในขั้นตอนการลงคะแนนโหวตก็ยังมีการเสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่มิชอบ ไม่มีความซื่อสัตย์ต่อคำปฏิญาณในฐานะสมาชิกรัฐสภา นี่ว่ากันเฉพาะเท่าที่จำได้
เพียงแค่นี้ก็ทำให้สมาชิกรัฐสภา ทั้ง 312 คนที่ลงมติสนับสนุนร่างแก้ไขดังกล่าวหมดสภาพ มีฐานะไม่ต่างจาก "แก๊งโจร"ที่ใช้อาคารรัฐสภาเป็นที่ซ่องซุมเท่านั้น ขณะที่ตัวประธานรัฐสภาคือ สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ และ ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่เป็นรองประธานรัฐสภา นิคม ไวยรัชพานิช นั้นไม่ต้องพูดถึงเวลานี้รอเพียงแค่นับถอยหลังถูกถอดถอนหรือรอ "เดินเข้าคุก"เท่านั้นเอง
ขณะที่ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นาทีนี้ถือว่า "โคม่า"หลังจากที่"ดันทุรัง"นำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญกรณีดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าฯทั้งที่มีเสียงทักท้วง และมีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญได้ตีความและศาลฯก็รับคำร้องไว้พิจารณาแล้ว แต่เธอเลือกที่จะทำตาม"คำสั่ง"ของคนอื่นและเชื่อมั่นในพลังของเครือข่ายตัวเองที่มีอยู่รอบตัวมากมาย ยอมทำเรื่อง "มิบังควร"นำร่างกฎหมายที่มีมลทินให้ทรงลงพระปรมาภิไธย ซึ่งตามมารยาทเฉพาะหน้าก็ต้องประสานงานเพื่อนำเรื่องกลับคืนมาก่อน
ขณะเดียวกันเมื่อร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภามิชอบ มันก็ทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตราอื่น เช่น มาตรา 190 มาตรา 68 ก็ส่อไปในทางมิชอบเช่นเดียวกัน เพราะทั้งเนื้อหาและขั้นตอนวิธีปฏิบัติไม่ต่างกัน นอกจากนี้ยังมีรายงานเข้ามาอีกว่ากรณีของร่างพระราชบัญญัติเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทที่เพิ่งผ่านวาระที่ 3 ในขั้นตอนวุฒิสภาไปแล้ว ปรากฏคลิปให้เห็นชัดเจนว่ามีการเสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน ซึ่งถ้าเป็นจริงก็ "ส่อโมฆะ" เพราะมีบรรทัดฐานจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเอาไว้ชัดเจนแล้ว
ล่าสุดยังมีข่าวร้ายเพิ่มเติมเข้ามาก็คือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.)ได้มีมติตั้งกรรมการสอบสวน ประธานรัฐสภา สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานวุฒิสภา นิคม ไวยรัชพานิช รวมทั้งสมาชิกรัฐสภาทั้ง 312 คนกรณีร่วมกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญมิชอบดังกล่าวแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นถือว่าเริ่มนับถอยหลัง เพราะทั้งรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และองคาพยพของเครือข่ายทักษิณ มันเริ่มตีบตัน จะเดินหน้าก็ไม่ได้ จะถอยหลังก็ไม่ได้ เพราะหายนะทุกทาง !!