รายงานการเมือง
เข้าสู่โหมดสู้รบเต็มรูปแบบ เมื่อ “ม็อบแดง” เกณฑ์มวลชนมุ่งหน้าเข้า “เมืองหลวง” โดยใช้สนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถาน เป็นจุดรวมพล “นักเลงแดง” อีกฝากฝั่งหนึ่งคือ “ม็อบสีฟ้า” ยังปักหลักชุมนุมอยู่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน ยึดสมรภูมิหลักซึ่งอยู่ใกล้ใจกลางอำนาจอย่าง “ทำเนียบรัฐบาล-รัฐสภา”
จำนวนมวลชนของทั้งสองฝั่ง หากเกณฑ์กันมาเต็มอัตราศึกหลักแสนคนไม่ใช่เรื่องยาก
ด้านยุทธภูมิที่ตั้งแม้จะอยู่กันคนละมุมเมือง แต่โอกาสที่มวลชนของทั้งสองฝ่ายจะหันมาประหัตประหารกันเองใช่ว่าจะไม่มี ถ้าสถานการณ์ร้าวจนถึงขั้นยอมกันไม่ได้ ประตูแห่งศึกสงคราม ย่อมเปิดกว้างเสมอ
เมื่อมวลชน-เสบียงอาหาร-อาวุธยุทโธปกรณ์พร้อม เหลือเพียง “วัน ว.เวลา น.” เท่านั้น
ที่ทั้ง 2 ม็อบต้องระดมคนมาก็เพราะมีนัดหมายกันในวันนี้ (20 พ.ย.) ที่ “ศาลรัฐธรรมนูญ” จะอ่านคำวินิจฉัยเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มา ส.ส.-ส.ว.
ฝั่งกุมอำนาจประเมินว่าคำวินิจฉัยไม่มี “เจ๊า” มีแต่ “เจ๊ง” อยู่ที่จะ “เจ๊งมาก” หรือ “เจ๊งน้อย”
“เจ๊งมาก” ในความหมายของฝั่งกุมอำนาจคือการ “ยุบ” พรรคเพื่อไทย นั่นอาจจะทำให้รัฐบาล ภายใต้การนำของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” น้องสาวสุดเลิฟของ “นายใหญ่” สั่นคลอนได้ แม้เก้าอี้ผู้นำประเทศจะไม่หลุดแบบอัตโนมัติก็ตาม
การเดินหมากทุกเกมของ “วอร์มรูมนายใหญ่” จึงต้องสุขุมนุ่มลึกเป็นพิเศษ
จึงมองได้ว่า เหตุผลหนึ่งที่ “สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์” ประธานรัฐสภา ออกโรงมา “ตั้งแง่” ไม่รับญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของขุนพลประชาธิปัตย์ เพราะต้องการให้อำนาจ “ยุบสภา” ยังอยู่ในมือของ “ยิ่งลักษณ์”
เผื่อเหลือเผื่อขาดเอาไว้ก่อน เพราะหากเกิดสถานการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จะหามาตรการตั้งรับได้ทันการ การประเมินความเสี่ยงใน “วอร์รูม” มีหลายแนวทางทั้งเกมตั้งรับ ทั้งเกมรุกสวนกลับ
หากจวนตัวก็ล้มกระดานวัดกันใหม่ในสนามเลือกตั้ง
ล่าสุดมีการส่งต่อ “ข่าวรั่ว” จาก “ทีมวอร์รูม” กับ “นายใหญ่” โดยมีเนื้อหาปลุกเร้าให้ “คนเสื้อแดง” เตรียมการปกป้อง “รัฐบาล” อย่างสุดชีวิต
โดยใช้กำลังทั้งหมดตบเท้าเข้ามาปกป้องรัฐบาล แล้วหาที่มั่นที่ใหม่ให้รัฐบาลใช้ในการบริหารประเทศ โดยไม่จำเป็นต้องสนใจว่า “ทำเนียบรัฐบาล-รัฐสภา” จะถูกฝั่งตรงข้าม “ยึด” ไปได้หรือไม่
เพราะให้ถือว่ายึดได้แค่ตัวตึก ไม่สามารถยึดอำนาจในการบริหารได้เหมือนสมัย “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” ที่ไม่ได้ย่างกรายเข้าทำเนียบรัฐบาลแม้แต่วินาทีเดียว มีการระบุเนื้อหาถึงขั้นว่า “สถานะรัฐบาลต้องรักษาไว้ให้ได้ “ด้วยชีวิต” ดูตัวอย่าง รัฐบาลนายกฯ สมชายไม่จำเป็นต้องอยู่ที่เมืองหลวง อยู่ที่อีสานก็บัญชาการได้”
แสดงว่ามีการเตรียมจับ “น้องปู” ใส่กระด้งโยนออกจาก “เมืองหลวง” ยึดหัวเมืองต่างจังหวัดในการบริหารประเทศหากคับขัน
เงื่อนไขในการเลือกฐานที่มั่นสำรองให้รัฐบาล คือต้องอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล “เมืองหลวง” แต่ที่สำคัญต้องเป็นพื้นที่ที่มีแฟนคลับ “คนเสื้อแดง” อยู่อย่างหนาแน่น เพื่อที่จะใช้มวลชนคนเสื้อแดง คอยบล็อกกองกำลังของฝั่งตรงข้าม สร้างเป็นโล่ห์กำบัง “รัฐบาล”
ในส่วนของการบัญชาการ “รัฐบาล” จะสั่งการผ่านเครือข่าย “กองทัพแดง” เป็นฐานเข้าควบคุมพื้นที่ตอนเหนือ-อีสาน-ออก-ตก กุมกำลังตรึงพื้นที่ให้ได้ทั้งหมด และมีการกำชับให้จัดระบบรวบรวมไพร่พล อาวุธยุทธปัจจัย พร้อมขอการสนับสนุนจากต่างประเทศและสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ให้พร้อมสรรพ
หากฝั่งตรงข้ามทำการยึดครอง “เมืองหลวง” จะทำให้รัฐบาลสามารถตั้งสถานะให้เป็น “โจรกบฏ” ได้ และฟ้องต่างประเทศ ไม่ให้มีการรับรองสถานะ รวมถึงการจะทำธุรกรรมทางการเงินใดๆ ก็กระทำไม่ได้ทั้งสิ้น
แผนการที่ “ทีมวอร์รูมเพื่อไทย-นายใหญ่” จัดเตรียมไว้ทั้งหมดถูกกำหนดชื่อขึ้นภายใต้ยุทธศาสตร์ “แดงล้อมกรุง” โดยการนำของ “จอมทัพหญิงผู้ยิ่งใหญ่” ตั้งเป้าหมายเคลื่อนพลครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย
โดยมีการเขียนแผนเปรียบเทียบการสู้รบของ “กองทัพแดงเหมา เจ๋อตง” ที่เคลื่อนกองทัพแดงอย่างมหาศาลทั้งหมดเข้ากรุงปักกิ่ง ยังไม่ทันถึงปรากฏว่า “กองทัพเจียง ไคเช็ค” หนีลงเรือไปขึ้นเกาะไต้หวันจนหมดสิ้น
จึงเรียกยุทธวิธีนี้ว่า ชนะโดยไม่ต้องรบ!!!
พร้อมตั้งเงื่อนไขว่า “คนเสื้อแดง” จะชนะหรือแพ้จนต้องล้มตายเกลื่อนแผ่นดิน ก็คือต้องคงสถานะรัฐบาลไว้ให้ได้ เพราะการที่รัฐบาลจะหนีออกไปตั้ง “รัฐบาลพลัดถิ่น” นอกประเทศ หมายถึงความหายนะของ “แดง” ทั้งแผ่นดินจนนับศพไม่ถ้วน
ซึ่งมีการเปรียบเทียบว่า “รัฐบาลสมชายทำได้มาแล้ว ทำไมรัฐบาลยิ่งลักษณ์จะทำไม่ได้”
ทั้งหมดคือแผนคร่าวๆ ที่ถูกส่งต่อกันมาใน “ทางลับ” จะจริงหรือไม่จริงรอพิสูจน์กันในวันที่ 20 พ.ย. เป็นต้นไป แต่ที่แน่ๆ คือคนที่แพ้ไม่เป็นอย่าง “ทักษิณ” คิดและทำได้ทุกอย่างเพื่อรักษา “อำนาจ” รักษาผลประโยชน์ของตัวเอง
ไม่ต้องสนใจว่า “ประชาชน” จะสังเวยชีวิตไปเท่าไร ขอให้มี “อำนาจรัฐ” ไว้ที่ตนก็เป็นพอ