xs
xsm
sm
md
lg

ส.ว.ข้างมากหนุนกู้ 2 ล้านล้านไม่ต้องนำส่งคลัง ส.ว.สรรหาซัดเปิดช่องโกง-จ่อร้องศาล รธน.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ที่ประชุมเสียงส่วนใหญ่วุฒิสภา พลิกมาตรา 6 ของ กมธ.เสียงข้างมาก กลับไปใช่ร่างสภา “เงินกู้ไม่ต้องนำส่งคลัง” อ้างเป็นโครงการใหญ่และยาวนิยมกู้ ไม่สามารถใช้งบปกติ ด้าน ส.ว.สรรหา ชัดเปิดช่องโกง พร้อมร้องศาลรัฐธรรมนูญยับยั้ง ชะลอการทูลเกล้าฯ


วันนี้ (19 พ.ย.) ที่ประชุมวุฒิสภา มีการพิจารณามาตรา 4 ของร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ วงเงิน 2 ล้านล้านบาท ต่อจากวันที่ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา จากนั้นมีมติ 62 ต่อ 42 เสียงเห็นชอบกับมาตรา 4 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตาม พ.ร.บ.นี้ เข้าสู่การพิจารณาในมาตรา 5 ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่กำหนดให้กระทรวงการคลังมีอำนาจกู้เงินบาท หรือเงินตราต่างประเทศในนามรัฐบาลไทยเพื่อนำไปใช้จ่ายในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ ซึ่งการกู้เงินจะต้องไม่เกิน 2 ล้านล้านบาทและให้กระทำได้ภายในกำหนดเวลาไม่เกินวันที่ 31 ธ.ค. 2563

นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา กล่าวว่า การกำหนดให้กู้เงินสิ้นสุดในปี 2563 หรืออีกประมาณ 6-7 ปีต่อจากนี้จะทำให้เกิดการตึงตัวมากเกินไป เนื่องจากโครงการก่อสร้างตามร่าง พ.ร.บ.นี้ส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องผ่านศึกษาผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมตามรัฐธรรมนูญมาตรา 57 และ 67 ซึ่งจำเป็นใช้เวลาค่อนข้างมาก

นายคำนูณ กล่าวว่า ดังนั้น ถ้าเกิดโครงการหลายโครงการไม่ผ่านขั้นตอนตามรัฐธรรมนูญและมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาอีกพอสมควร เพื่อไปดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ อาจจะมีผลให้ไม่สามารถเบิกเงินกู้ได้ทันตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด จึงคิดว่าควรมีการขยายเวลาออกไป

นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ขอเสนอให้การกู้เงินจะต้องไม่เป็นการทำให้ไทยสละสิทธิ์ในอำนาจอธิปไตยทั้งทางตรงและทางอ้อม เนื่องจากการให้น้ำหนักกับการกู้เงินเป็นสกุลเงินต่างประเทศจะทำให้ประเทศไทยมีความเสี่ยงจากความผันผวนในอัตราแลกเปลี่ยนได้ จึงมีความเป็นห่วงว่าถ้าในอนาคตเกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นมาความสามารถในการชำระหนี้ของประเทศไทยมีปัญหา

“ปัจจุบันเราไม่ได้อยู่ในภาวะวิกฤตแต่กฎหมายฉบับนี้กำลังพาเราเข้าสู่ภาวะวิกฤต ในอดีตเราไปเคยกู้เงินกับต่างประเทศ และถูกบีบให้ต้องแก้กฎหมายภายในประเทศจำนวนมาก ประเทศกำลังอยู่ดีๆอยู่แล้วแต่กฎหมายฉบับนี้กำลังพาพวกเราลงเหว แต่ก่อนจะพาพวกผมลงเหวช่วยเอาลูกหลานผมไว้หน่อยด้วยการเพิ่มข้อความที่ผมเสนอเข้าไปเพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าอย่าขายทั้งประเทศอย่าจำนำอธิปไตยของไทย” นายเดชอุดม กล่าว

ด้าน น.ส.จุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ในฐานะกรรมาธิการ ชี้แจงว่า กระทรวงการคลังมีกรอบวินัยการเงินการคลังที่ยึดถือมาตั้งแต่ปี 2544 ว่าหนี้สาธารณะคงค้างต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จะต้องไม่เกิน 60% นอกจากนี้ได้กำหนดว่าภาระหนี้ที่เกิดจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในอนาคตจะเป็นไปตามกรอบวินัยการเงินการคลังดังกล่าวโดยที่ต้องไม่เกิน 50% ในตลอดระยะเวลาที่มีการลงทุนตลอด 7 ปี

น.ส.จุฬารัตน์ กล่าวว่า การกู้เงินตามร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้กระทรวงการคลังจะคำนึงถึงต้นทุนเงินกู้ที่ต้องมีความเหมาะสม และสภาวะทางการเงินในตลาดขณะนั้น รวมไปถึงความเหมาะสมของแหล่งเงิน อย่างไรก็ตาม ภาวะตลาดเงินภายในประเทศขณะนี้มีความคล่องตัวค่อนข้างสูง กระทรวงการคลังจึงมีนโยบายว่าจะระดมทุนจากภายในประเทศเป็นหลัก ส่วนการเปิดช่องให้สามารถระดมทุนจากต่างประเทศด้วยเพราะในอนาคตอาจมีความจำเป็นที่ต้องชำระค่าสินค้าและบริการเป็นเงินสกุลต่างประเทศ รวมไปถึงการต้องการผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศในการให้ข้อแนะนำเกี่ยวกับการลงทุนระยะยาว

“ยืนยันกฎหมายนี้ไม่ใช่การตีเช็คเปล่า กระทรวงการคลังจะไม่สามารถกู้เงินได้แม้ว่าร่าง พ.ร.บ.นี้จะมีผลบังคับใช้แล้วเพราะจะกู้เงินได้ก็ต่อเมื่อโครงการนั้นได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี จากนั้นกระทรวงการคลังถึงจะสามารถดำเนินการกู้เงินได้ นอกจากนี้การจัดทำสัญญากู้เงินจะต้องผ่านการตรวจพิจารณาของสำนักงานอัยการสูงสุดและต้องมีความเห็นประกอบจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทุกครั้ง ดังนั้น เป็นที่มั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดการสละสิทธิ์ในอำนาจอธิปไตยของไทยอย่างแน่นอน” น.ส.จุฬารัตน์ กล่าว

ต่อมาที่ประชุมวุฒิสภามีมติเสียงข้างมาก 63 ต่อ 39 เสียง เห็นชอบกับมาตรา 5 และเข้าสู่การพิจารณาในมาตรา 6 ว่าด้วยการกำหนดให้เงินที่ได้จากการกู้ให้นำไปจ่ายตามวัตถุประสงค์ โดยต้องนำส่งคลังตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง ซึ่งเป็นประเด็นที่คณะกรรมาธิการวิสามัญเสียงข้างมากได้ทำการแก้ไข เนื่องจากร่าง พ.ร.บ.ที่สภาผู้แทนราษฎรส่งมาให้วุฒิสภาไม่ได้กำหนดให้เงินกู้ต้องเป็นเงินที่ต้องนำส่งคลังตามกฎหมาย

ทั้งนี้การอภิปรายส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่ ส.ว.สายเลือกตั้งนำโดยนายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ ส.ว.ราชบุรี และ นางสาวจารุวรรณ เฮงตระกูล ตัวแทนจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กมธ.เสียงข้างมาก ต่างเห็นควรให้กลับมาใช่ร่างของสภาที่เห็นชอบคือ “การกู้เงินไม่ต้องนำส่งคลัง” ตามกฎหมายว่าด้วยกฎหมายวิธีงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยการเงินการคลัง เพราะเห็นว่าเป็นโครงการระยะยาว ที่ไม่สามารถก่องบผูกพันได้ ที่ให้ระยะเวลา เพียง 3 ปีเท่านั้น และจะทำให้โครงการเร่งด่วน อาทิ ซ่อมแซมถนน ต้องหยุดชะงักไป

นายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ ส.ว.ราชบุรี ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ อภิปรายว่า เสียงข้างมากของคณะกรรมาธิการที่แก้ไขมาตราให้เป็นเงินที่ต้องนำส่งเข้าคลังมีเพียง 6 เสียงเท่านั้นโดยมีองค์ประชุมขณะนั้น 13 คน จากคณะกรรมาธิการทั้งหมด 25 คน

















กำลังโหลดความคิดเห็น