รายงานการเมือง
การชุมนุมของม็อบต่อต้านรัฐบาลยังคงดำเนินต่อไป แต่จากที่เคยเกี้ยวกราดรุนแรงดุดัน เนื่องเพราะมหามวลชนจากทุกฝั่งฝ่ายออกมาพร้อมกันด้วยใจ วันนี้ดูเหมือนเงื่อนไขบางอย่างถูกลดทอนลงไปทำให้การชุมนุมไม่แข็งกร้าวเหมือนเดิม
ม็อบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งชั่วโมงนี้ถือเป็นม็อบไฮไลต์ ใหญ่ที่สุด เป็นคีย์แมนในการเคลื่อนไหวองคาพยพโดยรวมของมวลชน ซึ่งม็อบนี้นำโดยแกนนำและสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาปลุกกระแสระดมคนได้มากมายเนื่องเพราะ “มีเป้าหมายเดียวกัน” นั่นก็คือต่อต้าน ขัดขวาง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
ทุกฝ่ายขานรับการเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย ล้างผิดให้คนโกง ทั้งแนวร่วมสาวกประชาธิปัตย์ หรือแม้แต่ชนชั้นกลาง รวมไปถึงคนที่เอนเอียงไปเชียร์กับรัฐบาล ต่างไม่เห็นด้วยกับกฎหมายล้างผิดเหมาเข่งฉบับนี้
เพราะมันทำลายหลักการบ้านเมือง ทำลายหลักนิติธรรมไปเสียหมด ชี้ชัดไปว่ารัฐบาลกำลังมุ่งช่วยเหลือนักโทษหลบหนีคดี ทักษิณ ชินวัตร เพียงคนเดียว ไม่สนใจบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร
ฉะนั้นจึงสามัคคีบาทาออกมาคัดค้าน จนรัฐบาล และพรรคเพื่อไทย รับรู้ได้โดยมโนสำนึก รีบกลับลำถอยกรูดจนสุดกระดาน สั่งวุฒิสภาคว่ำกลางซอย พร้อมเรียกพรรคร่วมลงสัตยาบัน ไม่เอากฎหมายนี้มาปัดฝุ่นใหม่อีกแล้ว จากนั้นก็ออกมาชี้แจงย้ำซ้ำๆ จนสังคมเริ่มผ่อนคลาย
ถือว่าพลาดแล้วยอมรับผิด ได้ผลไปพอสมควร ในที่สุดกลุ่มคนที่ออกมาชูประเด็นหลักว่าคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ก็ถือว่า “หมดเงื่อนไข” ต่อต้าน ต้องยุติบทบาท รามือไป เพราะหากยังแข็งขืนชุมนุมต่ออาจถูกแปรเจตนาว่าต้องการล้มล้างรัฐบาล ซึ่งหลายส่วนคิดว่ายังไม่ถึงเวลา
วันนี้กลุ่มอาจารย์มหาวิทยาลัยต่างๆต้องเงียบเสียงลงไป หลังเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับการตอบรับข้อเสนอให้รัฐบาลทำสัตยาบัน แล้วก็เป็นไปตามที่ร้องขอ พรรคเพื่อไทยนัดพรรคร่วมลงสัตยาบันรับปาก แน่นอนว่าสังคมระดับครูบาอาจารย์ รวมไปถึงฝ่ายตุลาการ ผู้พิพากษาต่างๆ ก็ต้องหลบมุมไป เคลื่อนไหวมากก็เข้าข่ายฝักใฝการเมืองจนเสียเกียรติ
วันนี้ถึงคิวนักธุรกิจออกมาขานรับบ้าง ที่สีลมก็ประกาศยุติชุมนุมไปแล้ว เพราะเงื่อนไขที่ออกมาระดมพลต่อต้านได้รับการตอบสนองไปเรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้เงื่อนไขนิรโทษกรรม จึงเหลือเบาบางมาก เหลือเพียงม็อบบริเวณราชดำเนินเท่านั้นที่ยังคงชูประเด็นนี้มาห้ำหั่นรัฐบาล ออกตัวว่าคำมั่นสัญญา รวมทั้งสัตยาบันอะไรต่างๆ เชื่อถือไม่ได้ทั้งสิ้น แต่ดูเหมือนว่ากระแสจะจุดไม่ติดเหมือนเก่าก่อน เพราะรัฐบาลแสดงท่าทีตรงนี้ไปแล้ว การเคลื่อนไหวของบางกลุ่ม
จึงถูกคนกลางๆ มองว่าเป็นการเล่นเกมการเมืองมากกว่าหรือไม่
ต้องมาชั่งใจกันว่าจะร่วมเคลื่อนไหวด้วยเหตุผลอะไร ชอบธรรมหรือไม่ วันนี้ต้องเรียกว่าเกมเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว รัฐบาลเหมือนถอยไปจนสุดกระดานจนตั้งหลักได้ กำลังสืบเท้าเข้ามาเดินสู่เกมรุก หลังออกมาตรการตามที่ลั่นคำไว้ทั้งหมด จนบรรยากาศคลายความตึงเครียด
ได้หายใจหายคอ เปิดเกมรุกทิ่มแทงฝ่ายต่อต้านด้วยข้อหาต่างๆ นานา โดยเฉพาะการล้มล้างรัฐบาล โดยปราศจากเหตุผล เมื่อหมดเงื่อนไขของกฎหมายนิรโทษกรรมแล้วก็พูดได้เต็มปากมากขึ้น
มองไปที่ฝ่ายต่อต้าน ม็อบราชดำเนิน ของพรรคประชาธิปัตย์ดูเหมือนว่าไม่ได้คิดแผนรองรับสถานการณ์พลิกผันเอาไว้มากมายนัก เหมือนจะเดินหน้าถล่มรัฐบาลจนพังให้ได้สถานเดียว เมื่อเกมเปลี่ยนเร็วก็พลิกตำราสู้ไม่ทัน
ทำไปทำมาก็ไม่มีธีมอะไรมากดดัน ไม่มีวาระการนำใดๆ ที่เรียกกระแสมวลชนมาเพิ่มเติมได้ วันนี้เหมือนกับจับมัดมือประชาชนเดินไปด้วยกัน หรือถีบหลังประชาชนออกมา ม็อบถูกลดความรุนแรงแข็งกร้างลงไป
ในที่สุดก็ต้องหามุข หาอีเวนท์ใหม่มาจุดประเด็นเลี้ยงกระแส แสดงความจริงใจเอาจริงเอาจังในการเดินหน้าขับไล่รัฐบาลเต็มตัว สุเทพ เทือกสุบรรณ นำขบวนส.ส.พรรคประชาธิปัตย์อีก 8 ลาออกจากการเป็น ส.ส. สร้างความฮือฮาเป็นข่าวใหญ่ แต่ต้องถามว่าแล้วยังไงต่อ!!!
ในสภาพรรคประชาธิปัตย์ก็เหลือ ส.ส.อีกเป็น 100 แล้วก็ชัดเจนแล้วว่าจะเดินหน้าถล่มรัฐบาลในสภาด้วยเป็นคู่ขนาน ล่าสุดก็จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว จะล้มรัฐบาลในสภาหรือนอกสภากันแน่ แท้จริงแล้วก็หวังทั้ง 2 ทาง การนำมันเลยไม่แจ่มชัด
การชุมนุมไฮไลต์เมื่อวันที่ 11 พ.ย.ที่ผ่านมาที่ประกาศเดดไลน์ 6 โมงเย็น จะตั้งศาลประชาชนจัดการกับรัฐบาล ปรากฏว่า “ศาลเตี้ย” ไม่ทำงาน แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ไม่กล้าทำอะไร สืบเนื่องเพราะปัจจัยไม่เกื้อหนุน
“สุเทพ” ประกาศโพล่ง 4 มาตรการอารยะขัดขืน ทำเอาสะดุ้งโหยงกันไปทั้งประเทศ หลายคนได้ฟังแล้วสะอึกในทันทีจะทำได้จริงหรือ มันจะได้หรือจะเสียมากกว่ากันแน่
เอาเข้าจริงมาตรการหยุดงาน 13-15 พ.ย. มันก็สร้างปัญหา ขัดระเบียบบริษัท คนที่อยากขับไล่รัฐบาลจริงๆ อยากทำ แต่คงไม่หาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวเอง ถ้าลาหยุดไปบางแห่งมีหวังโดนใบไล่ออกตามมา ได้ไม่คุ้มเสีย ส่วนมาตรการชะลอจ่ายภาษี นี่ก็อันตราย เสี่ยงขัดต่อกฎหมาย ความเดือดร้อนจะตามมาภายหลัง ไม่มีใครกล้าเสี่ยง
ฉะนั้นเสียงสะท้อนในทางไม่เห็นด้วยจึงดังอื้ออึงมากขึ้นเรื่อยๆ ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในหมู่ของพวกเดียวกัน เพราะมันทำให้ชาติเสียหาย ระบบเศรษฐกิจรวนเร จึงขาดความร่วมมือในมาตรการนี้ กลายเป็นแอนตี้ไปเสียด้วย ล่าสุด ดร.เสรี วงษ์มณฑา ต้องออกมาช่วยดับกระแสไม่เห็นด้วย วอนให้เลิกด่ากันออกสาธารณะ หันมากระซิบแนะนำกันดีกว่า
เดี๋ยวม็อบจะกลับบ้านไวกว่าที่คาด
มาตรการดังกล่าวว่ากันจริงๆแล้ว หากเทียบกับการยึดสนามบินของพันธมิตร ในแง่ของยุทธวิธี ถือว่าผลสัมฤทธิ์ต่างกันมาก ยึดสนามบิน เสียหาย สั่นสะเทือน แบบเฉียบพลัน ทำฝ่ายศัตรูจนมุม แต่อารยะขัดขืนนี้ นอกจากศัตรูจะไม่จนมุม ยุทธวิธีดังกล่าวยังย้อนศรมาสร้างความเสียหายให้ตัวเอง
ฉะนั้น วันนี้แกนนำม็อบราชดำเนิน ต้องหามาตรการใหม่ที่เด็ดขาด ไม่สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง ประชาธิปัตย์ต้องคิดใหม่ ให้ประชาชนอยากมามีส่วนร่วมในมาตรการขับไล่ รัฐบาลโจร สภาโจร ที่ต้องการให้กระเด็นออกไปอยู่แล้ว อย่าไปทำอารยะขัดขืนที่ฝืนความรู้สึกไปเรื่อย
“สุเทพ” ประกาศปิดเกมสิ้นเดือนนี้ ยังมองไม่เห็นทางจะปิดเกมอย่างไร เพราะรัฐบาลลดเงื่อนไขแรงเสียดทานไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าจะปิดเกมตัวเองหรือเปล่า รัฐบาลน่าจะเป็นฝ่ายได้ปิดเกมมากกว่า
ที่ผ่านมาก็กุมความได้เปรียบเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรมที่ชนะอย่างเด็ดขาดมายกหนึ่งแล้ว แต่มาตรการอารยะขัดขืนถือว่าทำแต้มตกหล่นน่าใจหาย แทนที่จะเอาเรื่องทุจริตมาขยายผลต่อ เรื่องที่ประชาชนเห็นกันชัดๆ มาตอกลิ่ม หาช่องกระซวกเพิ่ม แต่เหมือนหลงกระแส มัวเมาชัยชนะเลยเดินแบบขาดยุทธศาสตร์
สำคัญคือความจริงจังต้องมีตลอด ตราบใดยังชกไม่เต็มหมัด เหนี่ยวสายธนูไม่สุดล้า ก็ลำบาก วันนี้ต้องรีบแก้เกมกลับมา เพราะรัฐบาลตั้งหลักและออกมาโหมกระพือทั้งหน้าสื่อกระแสหลัก และโซเชียลมีเดีย หล่อหลอมพวกเดียวกัน ทั้งเสื้อแดงเผาเมือง แดงกุ๊ย แดงถ่อย คิดแคมเปญต่อสู้ออกมาแล้ว “เสื้อแดงคือหัวใจ เพื่อไทยคือร่างกาย ทักษิณเป็นสมอง”
สะท้อนชัดอีกครั้ง “ทักษิณ” ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เชื้อชั่วตายยากจริงๆ!!!