ผ่าประเด็นร้อน
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วพี่น้อง จะ “ตีเหล็ก” ก็ต้องตีกันตอนร้อนๆ นี่แหละ หรือหากจะขับไล่โค่นล้มระบบการเมืองชั่วช้าก็ต้องทำกันตอนที่ “กระแสตื่นตัว” ของชาวบ้านกำลังพุ่งขึ้นสูงแบบนี้แหละ การออกมารวมพลังคัดค้านต่อต้านร่างกฎหมาย"อุบาทว์"ที่มีเจตนาเพื่อล้างความผิดให้กับ ทักษิณ ชินวัตร เป็นเพราะ “ทนไม่ไหว” โดยแท้ ทนไม่ไหวที่เห็นคนพวกนี้ย่ำยีบ้านเมืองกันตามใจชอบ อ้างแต่ว่า “กูเสียงข้างมาก” กูผ่านการเลือกตั้ง แล้วกูจะทำอะไรก็ได้ อ้างว่านี่คือประชาธิปไตย
หากพิจารณาจากจำนวนตัวเลขมันก็อาจจะใช่ สำหรับการใช้ปิดปากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย และให้รอไปอีก 4 ปี รอจนครบวาระของรัฐบาล แล้วมาวัดกันในสนามเลือกตั้งคราวหน้า ระหว่างนี้ให้ “หุบปาก” อย่างเดียว กูจะทำอะไรก็เรื่องของกู อ้างว่าประชาชนมอบอำนาจมาให้แล้ว อะไรประมาณนี้แหละที่ ทักษิณ ชินวัตร รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เป็น “หุ่นเชิด” มักจะอ้างอยู่ตลอดเวลา
แต่อีกมุมหนึ่งถ้านี่คือประชาธิปไตยก็คงเป็น “ประชาธิปไตยโจร” เท่านั้น เพราะ “เสียงส่วนใหญ่” ไม่ใช่ถูกต้องเสมอไป อาจพาเข้ารกเข้าพงได้ทุกเมื่อ เพราะที่ถูกต้องน่าจะเป็น “เสียงส่วนใหญ่เพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่มากกว่า” แต่นี่กลายเป็นว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา กำลังทำเพื่อประโยชน์ของคนเพียงคนเดียวหรือคนส่วนน้อยเท่านั้น นั่นคือประโยชน์ของ ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวเท่านั้น
ที่ผ่านมาก็ถูกเปิดโปงผ่านทางร่างพระราชบัญญัตินิรโทษสุดซอยอย่างที่ชาวบ้านได้ “ตาสว่าง” อย่างที่ปรากฏกันอยู่ในเวลานี้
กรณีของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวถือว่า “ชัดเจนและเห็นแก่ตัว” อย่างชนิดที่ใครก็รับไม่ได้จึงต้องพร้อมใจกันต่อต้าน และทำท่ากำลังลุกลามขยายวงไปไกล จนกลุ่มโจรต้องแสดงท่าทางให่เห็นว่า “ถอยแล้ว” แต่แท้ที่จริงนี่คือการ “อำพราง” ตบตาเป็นการ “ถอยเพื่อรอจังหวะปล้นใหม่” เท่านั้น
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องพิจารณาพร้อมกันในคราวเดียวก็คือ ยังมีกฎหมายที่เลวร้ายไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน หรืออาจจะมากกว่า มีขอบเขตความเสียหายมหาศาลอีกหลายฉบับ เท่าที่เห็นในเวลานี้ก็คือร่างพระราชบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ที่เปิดโอกาสให้รัฐบาลไปทำข้อตกลงทางการค้า และข้อตกลงทางด้านทรัพยากรกับต่างชาติได้อย่างสะดวกโดยที่ไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาเสียก่อน ซึ่งในความหมายก็คือสามารถ “งุบงิบ” ไปเจรจาตกลงกับต่างชาติในเรื่องใดก็ได้ และให้บังเอิญว่ากำลังมีคำพิพากษาจากศาลโลกในเรื่องดินแดนรอบปราสาทพระวิหารพอดี ซึ่งมันจะโยงใยไปถึงพื้นที่เขตแดนที่จะมีการลากเส้นกันใหม่ จากบนบกลงสู่ทะเล เพราะในคำร้องของฝ่ายกัมพูชามีการอ้างอิงแผนที่ในอัตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ซึ่งฝ่ายรัฐบาลไทยไม่ได้โต้แย้งอย่างเป็นทางการ นั่นเท่ากับว่าเรายอมรับ
แต่นั่นไม่ร้ายเท่ากับ “หายนะ” ตรงหน้าที่รัฐบาลที่นำโดย “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ “สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล” ที่รีบยืนยันว่าเราจะยอมรับคำพิพากษาของศาลโลกไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร แล้วรีบเดินทางไปขอพบกับรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ฮอร์ นัมฮง ทันที ขณะที่ฝ่ายกองทัพไทยคือ ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็รีบประกาศท่าทีในทำนองเดียวกัน และไม่ให้มีความเคลื่อนไหวที่ชายแดนเพื่อป้องกันฝ่ายทหารกัมพูชาไม่พอใจและเข้าใจผิด
ความเคลื่อนไหวและท่าทีของรัฐบาลของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร “หุ่นเชิด” ของทักษิณ ชินวัตร ที่เคยเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวด้านเศรษฐกิจของ ฮุน เซน ผู้นำกัมพูชา ในเรื่องดังกล่าวมันช่างสอดคล้องกันอย่างลงตัวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ที่ใช้เสียงข้างมากรวบรัดจนผ่านสภาผู้แทนราษฎรไปได้เรียบร้อยแล้ว รอเพียงวุฒิสภาอนุมัติเท่านั้น แม้ว่าเวลานี้อาจจะสะดุดอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญที่รับคำร้องของฝ่ายค้านเอาไว้แล้วก็ตาม แต่คำถามก็คือ นี่คืออีกหนึ่งกฎหมายที่ “จงใจปล้นทรัพยากร” ของชาติขายแผ่นดิน ลักษณะไม่ต่างจากการสมคบคิดกับต่างชาติ ซึ่งถือว่าเป็นภัยอันตรายใหญ่หลวงที่คนไทยต้องตื่นรู้ไม่ต่างจากร่างกฎหมายล้างผิดคนโกงในเวลานี้ หรือก่อนหน้านั้นก็มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภาให้มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดโดยอ้างประชาธิปไตย แต่แท้จริงแล้วมีเจตนาในการ “รวบอำนาจ” เปลี่ยนให้เป็น “สภาทาส” เพราะวุฒิสภามีอำนาจในการแต่งตั้งองค์กรอิสระ กลั่นกรองกฎหมาย
ความเคลื่อนไหวของรัฐบาลและเครือข่าย ทักษิณ ชินวัตร ที่เกิดขึ้นดังกล่าว น่าจะเป็นคำตอบเพียงพอว่าจะต้องขับไล่ “กลุ่มโจร” พวกนี้ออกไปให้พ้นในคราวเดียวกันหรือไม่ แล้วมาร่วมกันออกแบบร่วมกัน “ปฏิรูปประเทศ” กันใหม่ เพราะไหนๆ ก็ไหนๆ ไม่น่าจะเสียเวลา หรือต้องมาเหนื่อยกันหลายครั้งหลายหน ไล่กันทีละเรื่องทีละประเด็นกันไม่จบสิ้น!!