นายกฯ และ รมว.กห.แถลงด่วน โยนวุฒิสภาตัดสินใจ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเพื่อผู้เดือดร้อน โวสภาฯ พร้อมยอมรับหากโดนแก้ อ้างหลายประเทศก็ทำ ยันไม่ได้ล้างผิดคนโกง จวกพวกบิดเบือนโยงเป็นกฎหมายการเงินหวังล้มรัฐ
วันนี้ (5 พ.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ออกแถลงการณ์ถ่ายทอดสดผ่านสถานีวิทยุและโทรทัศน์ ช่อง 11 (สทท.11) โดยระบุว่าเจตนารมณ์ของรัฐบาลต้องการเห็นความปรองดอง ได้สร้างเวทีเพื่อการปฏิรูปจากทุกฝ่ายเพื่อเป็นกลไกในการสร้างความปรองดอง และเมื่อสภาผู้แทนราษฎรได้ยื่นกฎหมาย ตนก็ไม่ได้ก้าวก่าย จนโดนกล่าวหาว่าไม่ให้ความสำคัญต่อรัฐสภา ส่วนกรณีที่สภาฯ ผ่านร่างนิรโทษกรรม ในหลายๆ ประเทศก็มีการนิรโทษกรรม เป็นทางออกหนึ่งที่ต้องพิจารณา ถ้าให้อภัยกันความขัดแย้งจะลด การนิรโทษกรรมไม่ได้หมายความว่าจะลืมบทเรียน แต่ต้องเรียนรู้และเข้าใจ ไม่ให้เกิดเหตุการณ์อีก และต้องเดินหน้าต่อได้ หากให้บ้านเมืองสงบการให้อภัยต้องปราศจากอคติ ตนเข้าใจว่าหลายๆ อย่างทำได้ยาก แต่ต้องเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม
น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ร่างนิรโทษกรรมดำเนินการตามหลักเกณฑ์ของรัฐธรรมนูญ มีความเห็นขัดแย้งอย่างหนักของคนในชาติ แต่เมื่อสภาฯ ผ่านแล้ว ก็พบว่ามีคนไทยที่ยังไม่พร้อมจะให้อภัย ทั้งจะมีท่าทีบ่อเกิดความขัดแย้ง ตนไม่อยากเห็น พ.ร.บ.นิรโทษกรรมถูกใช้เป็นการเมืองเพื่อล้มล้างรัฐบาล ถูกบิดเบือนว่าเป็นกฎหมายการเงิน ซึ่งถ้าเป็นร่างการเงินตนต้องลงนาม และไม่ใช่กฎหมายล้างผิดคนทุจริต เพราะ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมยกโทษให้ผู้ได้รับผลพวงการรัฐประหาร และผู้ถูกกล่าวหากระทำต่อร่างกายและทรัพย์สิน รัฐจะไม่ใช้เสียงข้างมาก เป้าหมายคือปรองดองภายใต้ประชาธิปไตยที่มีส่วนร่วม ด้วยเหตุผล ทั้งนี้หวังทุกฝ่ายยุติความขัดแย้งร่างกฎหมายยังอยู่ในขั้นตอนวุฒิสภา ตนขอเสนอวุฒิสภา ที่มาจากการเลือกตั้ง และสรรหา ซึ่งมีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับร่างพ.ร.บ.ฉบับบนี้ ใช้ดุลพินิจอย่างเต็มที่ โดยอาศัยมาตรฐานปรองดองแก่ผู้เดือดร้อนได้เสมอภาค ไม่ว่าจะตัดสินอย่างไร เห็นด้วย หรือยับยั้ง สภาฯที่ผ่านร่างฯไปแล้ว ก็จะยอมรับการตัดสินใจเพื่อให้กระบวนการปรองดองต่อเนื่องไป
คำต่อคำ : ยิ่งลักษณ์ แถลงท่าทีต่อ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
กราบเรียนพี่น้องประชาชนที่เคารพรัก ดิฉันขอใช้เวลากับพี่น้องประชาชนเพียงเล็กน้อย ขออนุญาตเรียนว่า จากความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมา ร่วมสิบกว่าปีแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าความขัดแย้งที่ผ่านมานั้นได้สร้างความบอบช้ำให้กับประเทศอย่างมาก ซึ่งเมื่อดิฉันได้รับการเลือกตั้งและเข้ามา ดิฉันก็เชื่อว่าคนไทยทุกคนมีความคิดเห็นตรงกันว่า หากความขัดแย้งดังกล่าวยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งจะเป็นการบั่นทอนต่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศ และทำให้ประเทศเดินต่อไปไม่ได้
ดังนั้น นับตั้งแต่วันที่รัฐบาลนี้ได้เข้ามาบริหารประเทศ ดิฉันก็ได้ประกาศที่จะใช้นโยบายอย่างชัดแจ้งว่า เราจะร่วมสร้างความปรองดองของคนในชาติโดยยึดหลักนิติธรรม และต้องการเห็นกลไกของอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย ได้แก่ อำนาจนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ ให้เป็นไปอย่างสมดุล ไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน ซึ่งเจตนารมณ์ของรัฐบาลนั้น ก็ต้องการเห็นความปรองดอง ความสมานฉันท์ของคนในชาติอย่างไม่ลดละ จนในที่สุด เมื่อเร็วๆ นี้ดิฉันก็ได้เสนอแนวทางในการสร้างเวทีปฏิรูปทางการเมืองร่วมกับทุกฝ่าย ที่มีทั้งความคิดเห็นที่แตกต่าง และก็เป็นความคิดเห็นที่มาจากหลากหลาย ซึ่งเป็นกลไกในหลายๆ กลไกที่หวังว่าจะได้ร่วมกันสร้างความปรองดอง และความสมานฉันท์ได
แต่ขณะเดียวกัน ภายใต้กลไกที่สมดุลของอำนาจอธิปไตยในระบอบประชาธิปไตยนั้น ก็จะทำให้เห็นได้ในหลายๆ เวลาว่า เมื่อฝ่ายสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เสนอร่างกฎหมายต่างๆ นั้น หรือแม้แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ในซีกของรัฐบาลซึ่งเป็นฝ่ายบริหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวดิฉัน ในฐานะนายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้ก้าวก่ายกลไกที่ทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติเลย จนกระทั่งดิฉันเองกลับถูกกล่าวหาว่า ละเลย ไม่ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะที่เป็นสมาชิกผู้แทนราษฎรอยู่ด้วย ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว ดิฉันต้องการให้ฝ่ายนิติบัญญัติได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่
สำหรับการที่สภาผู้แทนราษฎรได้มีการผ่านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้เกิดการถกเถียงกันอยู่ในปัจจุบันนั้น โดยข้อเท็จจริงแล้ว ในหลายๆ ประเทศที่มีความขัดแย้งทางการเมืองถึงขั้นรุนแรง มีการเสียชีวิต การสูญเสียทรัพย์สินนั้น ก็มีการนิรโทษกรรมมาก่อน และเป็นบทเรียนที่ประเทศไทยต้องศึกษา และหลักของนิรโทษกรรมนั้น ก็เป็นทางออกๆ หนึ่งที่ควรจะพิจารณา เพราะหากทุกฝ่ายเรียนรู้ที่จะให้อภัยซึ่งกันและกันแล้ว ดิฉันเชื่อว่าความขัดแย้งย่อมลดลง และประเทศจะเดินหน้าต่อไปได้
แต่ที่น่าเสียใจอย่างยิ่งว่า จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา ก็ได้มีพี่น้องประชาชนจำนวนนับร้อยที่ต้องสูญเสียชีวิต และอีกหลายพันคนที่ได้รับความบาดเจ็บและมาจากการรุนแรงที่มาจากความขัดแย้งที่มีต้นตอจากความคิดล้มล้างรัฐบาลที่มาจากระบอบประชาธิปไตย ดังนั้นการนิรโทษกรรมไม่ได้หมายความว่าจะให้เราลืมบทเรียนอันเจ็บปวด เราทุกคนต้องเรียนรู้ เราทุกคนต้องเข้าใจ เพื่อไม่ให้ลูกหลานของเรานั้นต้องเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้อีก และขณะเดียวกัน เราก็ต้องร่วมมือกันทำให้ประเทศของเรานั้นต้องเดินหน้าได้ เราจะมาติดหล่มจนประเทศชาติจะต้องอยู่ในวังวนแห่งความขัดแย้งต่อไปไม่ได้ และหากจะให้บ้านเมืองสงบ การให้อภัยนั้น ก็ต้องปราศจากอคติ ไม่ใช้อารมณ์ และเปิดใจกว้างให้ทุกฝ่ายของความขัดแย้ง ได้มีโอกาสในการแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ ซึ่งดิฉันเข้าใจว่า หลายๆ อย่างเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก แต่เราต้องคิดถึงประโยชน์ส่วนรวม มากกว่าความเจ็บปวดส่วนตน
มาจนถึงวันนี้ เราก็พบว่าร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ที่ผ่านการพิจารณาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสร็จแล้วนั้น ได้มีการนำเสนอสู่การพิจารณาของวุฒิสภา ซึ่งถือว่าเป็นการดำเนินการตามหลักเกณฑ์และกลไกปกติของบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และมีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างหนัก จนทำให้เกิดข้อขัดแย้งของคนในชาติหลายกลุ่ม หลายสถาบัน หรือแม้กระทั่งพรรคการเมืองด้วยกัน ตลอดจนพี่น้องประชาชน ในหลายๆ พื้นที่
อย่างไรก็ตาม เมื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผ่านพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้ว จะเห็นได้ว่า มีคนไทยหลายกลุ่มยังมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน และยังไม่พร้อมที่จะให้อภัย ทั้งยังมีท่าทีที่จะเป็นบ่อเกิดแห่งความขัดแย้งที่นำไปสู่ความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ดิฉันไม่อยากเห็นการนำพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมนี้ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ทำให้เกิดข้อถกเถียง หรือมีการให้ข้อมูลที่สับสน และถูกบิดเบือน โดยมีเจตนาที่จะล้มล้างรัฐบาล และระบอบประชาธิปไตยอีกครั้ง
การบิดเบือนนั้น ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า กฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายการเงิน ถ้าหากเป็นร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเงิน ดิฉัน ในฐานะนายกรัฐมนตรี ต้องลงนาม ซึ่งดิฉันไม่เคยลงนามใดๆ เลย ที่สำคัญมีความพยายามที่จะบิดเบือนว่า กฎหมายจะกลบเกลื่อนการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งก็เป็นคนละประเด็นกับพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ซึ่งพระราชบัญญัตินี้เป็นกฎหมายที่ยกเลิกให้ผู้ที่ได้รับผลพวงจากทางการเมือง การรัฐประหารที่ไม่อยู่ในหลักของนิติธรรม รวมทั้งผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน
ดิฉันขอยืนยันว่า รัฐบาลนี้จะทำเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ และจะไม่ใช้เสียงข้างมากมาฝืนความรู้สึกของประชาชนโดยเด็ดขาด เพราะรัฐบาลของดิฉันเป็นรัฐบาลของประชาชนทุกคน ย่อมต้องฟังทั้งเสียงที่สนับสนุน และเสียงคัดค้าน เป้าหมายของรัฐบาลชุดนี้ ก็คือการสร้างความปรองดองและทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ ภายใต้วิถีทางประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วม โดยใช้เหตุและผล ไม่ใช่การใช้อารมณ์
ภายใต้บรรยากาศของความขัดแย้งที่ปะทุอยู่นี้ รัฐบาลเห็นว่าทุกฝ่ายน่าที่จะหยุดคิด หยุดกระทำ ที่จะสร้างความแตกแยกต่อไป ทั้งนี้ ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ หากถือว่าตามขั้นตอนของกระบวนการกฎหมาย ก็ยังอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาของวุฒิสภา ดิฉันจึงใคร่ขอเสนอว่า ให้วุฒิสภา โดยวุฒิสมาชิก ซึ่งเป็นทั้งตัวแทนที่มาจากการแต่งตั้ง และตัวแทนวุฒิสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้ง ทั้งเป็นกลุ่มที่มาจากกลุ่มที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล ได้กรุณาใช้ดุลพินิจอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า วุฒิสมาชิกนั้นไม่มีใครก้าวก่ายได้ ให้ได้โปรดใช้ดุลพินิจพิจารณาโดยอาศัยพื้นฐานของความปรองดอง ความเมตตาธรรม กับผู้ที่เดือดร้อน และผู้ที่เจ็บปวดมาเป็นเวลานาน ให้ได้รับความยุติธรรมอย่างเสมอภาค ซึ่งการพิจารณาพระราชบัญญัตินี้ ได้คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก และไม่ว่าวุฒิสภาจะตัดสินอย่างไร จะไม่เห็นด้วย จะยับยั้งกฎหมาย หรือจะมีการแก้ไขก็ตาม ดิฉันเชื่อว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ลงคะแนนผ่านพระราชบัญญัติฉบับนั้นไปแล้ว จะยอมรับการตัดสินใจด้วยเหตุด้วยผล เพื่อความปรองดองของคนในชาติ
ทั้งนี้ เพื่อให้กระบวนการทั้งหมดเป็นไปตามครรลองของประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา อันเป็นเป้าหมายหลักที่เราต้องช่วยกันรักษาไว้ เพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนคนไทยทุกคน
สุดท้ายนี้ ดิฉันขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ได้ทำงานอย่างหนัก ในฝ่ายนิติบัญญัติ เพื่อสนับสนุนแนวทางปรองดอง ซึ่งถือว่าทุกฝ่ายได้ทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่ อย่างเต็มกำลังสุดความสามารถแล้วเพื่อประเทศชาติ และขอใช้เวลาต่อจากนี้ไป เป็นเวลาของคนไทยทุกคนที่ต้องร่วมกันคิด ร่วมกันตัดสินใจ ในการพิจารณาแนวทางด้วยความเป็นธรรม ด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน ไม่มีอคติ ไม่มีอารมณ์ ด้วยใจที่เปิดรับ และเห็นอกเห็นใจกัน อันเป็นพื้นฐานสำคัญของความปรองดองที่ประชาชนคนไทยต้องการ ขอบคุณค่ะ