“นพดล” อ้างมุ่งพาชาติพ้นขัดแย้ง บ่นไทยเดินหน้าช้ากว่าเพื่อนบ้าน โวปรารถนาดีนิรโทษกรรมหาจุดเริ่มต้น ให้รัฐบริหารจนครบเทอม แนะอย่าลามโค่นรัฐ จี้เคารพเสียงข้างมาก ด้านรองโฆษก พท.พ่นไปเรื่อย ยันไม่มียุบสภา
วันนี้ (2 พ.ย.) นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลมุ่งมั่นจะนำประเทศก้าวข้ามความขัดแย้งไปให้ได้ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากนักการเมืองทุกกลุ่ม เพราะในขณะนี้นักการเมืองทะเลาะกันมานานหลายปีแล้ว และคนที่เสียประโยชน์คือประชาชนและชาวบ้านทั่วไป ยอมรับว่าการรัฐประหารปี 49 เป็นบ่อน้ำพุแห่งความขัดแย้ง คนก่อรัฐประหารนิรโทษกรรมตนเองตามมาตรา 309 ประชาชนส่วนใหญ่เห็นควรล้างผลของการรัฐประหารที่ละเมิดหลักนิติธรรมตั้งแต่ต้น 7 ปีที่ผ่านมา ประชาชนอยากหาทางออกจากความขัดแย้ง อยากเห็นประเทศเดินหน้า โลกเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว และความสามารถของประเทศก็ลดลง ทำให้ขับเคลื่อนไปข้างหน้าช้ากว่าเพื่อนบ้านหลายประเทศ แม้กระทั่งเครื่องถ่ายเอกสารตอนนี้ยังพัฒนาสามารถถ่ายเป็น 3 มิติได้แล้ว แต่น่าเสียดายที่การเมืองไทยยังมีมิติเดียว คือมิติแห่งความขัดแย้ง
นายนพดลระบุว่า พรรคเพื่อไทยยังคิดว่าการเมตตาปราถนาดีต่อกัน การนิรโทษกรรมเพื่อให้ทุกคนหาจุดเริ่มต้นใหม่ให้กับประเทศ เพื่อให้นักการเมืองเล่นตามกติกา ให้รัฐบาลบริหารประเทศจนครบเทอม ส่วนที่เป็นฝ่ายค้านก็ตรวจสอบและแข่งกันผลิตนโยบายให้ประชาชนเลือก ระบอบประชาธิปไตยยังต้องการฝ่ายค้าน แต่ไม่จำเป็นต้องมีฝ่ายโค่น เพราะถ้าฝ่ายใดมีคุณภาพ ประชาชนก็จะไว้วางใจเลือกตั้งเข้ามาบริหารประเทศเอง
“พรรคเพื่อไทยเคารพการเคลื่อนไหวของทุกกลุ่มขณะนี้ที่ไม่เห็นด้วยกับนิรโทษกรรม แต่ขอให้อยู่ในกรอบรัฐธรรมนูญและอย่านำประเด็นนี้ไปเพื่อโค่นรัฐบาล เพราะการพิจารณากฎหมายเป็นไปตามขั้นตอนของสภา และทุกคนว่ากันด้วยเหตุด้วยผล และตนเชื่อว่า ส.ส.และ ส.ว.ส่วนใหญ่ก็คงมีวิจารณญาณและมีมุมมองให้ประเทศก้าวไปข้างหน้าแตกต่างกัน แต่ทั้งนี้ เสียงข้างน้อยควรต้องเคารพเสียงข้างมาก พรรคฝ่ายค้านมีเสียงน้อยก็ต้องพยายามทำงานให้หนัก เพื่อหาโอกาสมีเสียงข้างมากในอนาคต” นายนพดลกล่าว
ด้านนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะแกนนำม็อบสามเสนตั้งศูนย์ประสานงานแบบถาวร หวังขยายการต่อสู้ ส่งสัญญาณแนวร่วมทั่วประเทศร่วมชุมนุมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่เพิ่งผ่านสภาผู้แทนราษฎรประกาศเป่านกหวีดสู้จนตายว่า ขอให้นายสุเทพและพรรคประชาธิปัตย์สบายใจได้เลยรัฐบาลนี้ไม่ขัดขวางการชุมนุมของประชาชน ไม่มีแนวความคิดกระชับพื้นที่ ขอคืนพื้นที่ ประกาศเขตใช้กระสุนจริงยิงใส่ประชาชนที่มาชุมนุมอย่างแน่นอน ความจริงพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองเก่าแก่ทำงานการเมืองมานาน เห็นด้วยไม่เห็นด้วย น่าจะยืนหยัดสู้กันตามกระบวนการรัฐสภาเท่ากับสารภาพเสียสิ้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยืนกรานปฏิเสธกระต่ายขาเดียว ไม่เกี่ยวกับทุกๆม็อบวันนี้หลักฐานปรากฏชัด 1 ล้านคนที่จะระดม ไม่จำเป็นต้องมาสามเสน อยู่ตรงไหนก็ได้ นับเหมารวมหมด ม็อบสวนยางที่บอกว่าไม่เกี่ยว จึงโกหก เพราะยอมเปิดถนนเพื่อให้ม็อบมาเติมที่กรุงเทพฯ
นายอนุสรณ์กล่าวว่า การประกาศเป่านกหวีด สู้จนตาย ถือเป็นสิทธิ์ที่จะประกาศ การเสียชีวิตเป็นเรื่องส่วนตัวของนายสุเทพ ซึ่งไม่รู้ว่าคนดีใจเสียใจฝั่งไหนจะมากกว่ากัน จนถึงวันนี้ยังไม่แน่ใจว่า ลึกๆนายสุเทพ อาจดีใจที่ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมผ่านสภาผู้แทนราษฎรสิ่งที่เห็นอาจไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เพราะขนาดตอนปะทะกับกัมพูชาหน้าหนึ่ง อีกหน้าหนึ่งยังแอบไปเจรจาเรื่องพลังงานกับเขา ไหนๆประกาศสู้จนตาย ก็อย่าทำให้แม่ยกผิดหวัง อย่าเพียงให้หางเครื่องลาออกปาหี่จากกรรมการบริหารพรรค แต่ ส.ส.ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ต้องลาออกจากการเป็น ส.ส.ถึงจะได้ใจกองเชียร์ อย่าตีไพ่หลายหน้า สุดท้ายอาจเผลอตีโง่ ก็เป็นได้ เห็นต่างได้แต่อย่ารุนแรง
นายอนุสรณ์กล่าวถึงกรณีร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่ผ่านสภาผู้แทนราษฎรว่า เป้าประสงค์หลักของพรรคเพื่อไทยเบื้องแรก คือความพยายามแสวงหาหนทาง เครื่องมือในการสร้างความปรองดอง สมานฉันท์ของคนในชาติซึ่งการที่มีบางฝ่ายคัดค้าน สามารถสื่อสาร ถกเถียงกันได้ แต่ไม่ควรมากล่าวหากันว่า ออกกฎหมายนิรโทษกรรมทำเพื่อล้างผิด พ.ต.ท.ทักษิณ ทำลายหลักนิติธรรม นิติรัฐ ซึ่งเหตุการณ์ที่เป็นตัวทำลายล้างครั้งสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองรอบหลัง คือการก่อรัฐประหาร 19 กันยา 2549 เป็นการทำลายหลักนิติธรรมนิติรัฐของประเทศอย่างย่อยยับ พ.ต.ท.ทักษิณ ตกเป็นเหยื่อของการกระทำในครั้งนั้นเรื่อยมา คนไทย สังคมไทย เจ็บปวด กันมาตลอดระยะเวลา 7 ปี น่าเสียดายที่ครั้งนั้น นอกจากพรรคประชาธิปัตย์จะไม่ได้ออกมาต่อต้านแล้วยังไปแอบรับประโยชน์จากผลพวงของการก่อรัฐประหารเสียเอง มีหลักฐานปรากฎชัด ต่างกรรม ต่างวาระ จนถึงการตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ดังนั้น ความพยายามในการล้างผลพวงของการทำรัฐประหาร จึงน่าจะเป็นการแก้ไขที่เดินมาถูกทาง การเห็นต่างสามารถกระทำได้ แต่ขอให้คัดค้านภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ อย่าเคลื่อนไหวรุนแรง เพื่อรักษาบรรยากาศของการเดินทางไปสู่ ความปรองดองสมานฉันท์ หรือแท้ที่จริงแล้วพรรคประชาธิปัตย์หวังสร้างสถานการณ์ความวุ่นวายเพื่อนำไปสู่การทำรัฐประหารอีกครั้งหนึ่ง
นายอนุสรณ์กล่าวถึงกรณีแกนนำพรรคประชาธิปัตย์หลายคนคาดการณ์ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อาจมีการเตรียมการประกาศยุบสภา หลังเดินหน้า ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแล้วเสร็จว่า ไม่รู้ว่าพูดเพื่อปลอบใจกันเองหรือไม่ ก่อนพูดอะไร ขอให้ปรึกษานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณส.ส.สุราษฎร์ธานี ให้ดีเสียก่อน เพราะ 2 คนนั้นอย่าว่าแต่ยุบสภาเลย ปิดสมัยประชุมยังใจคอไม่ดี หลังจากที่อัยการสูงสุดสั่งฟ้องในความผิดฐานร่วมกันก่อหรือใช้ผู้อื่นกระทำผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 59, 80, 83, 84 และ 288 กรณีสั่งสลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช.เมื่อปี 2553 สถานภาพพรรคประชาธิปัตย์ต่างกันเยอะกับรัฐบาล ที่รัฐบาลต้องขับเคลื่อนประเทศ เดินหน้าเต็มสูบทำงานมา 2 ปีกว่า ผลักดันนโยบายใหม่ๆออกมามากมาย จัดเก็บภาษีได้มากขึ้น ตัวเลขนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมาก สนามบินสุวรรณภูมิขยายไม่ทันการเพิ่มขึ้นของผู้เดินทางเข้าออกเรื่องเร่งด่วนสำคัญที่รัฐบาลต้องเร่งรัด ผลักดันและดำเนินการให้ลุล่วง คือ เรื่อง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศเรื่องบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างบูรณาการเป็นระบบทั่วประเทศ 3.5 แสนล้านบาทฉะนั้นตั้งแต่รัฐบาลนี้มา มีความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีเกิดขึ้นมากมายซึ่งฝั่งตรงข้ามกับรัฐบาลก็อาจมองว่า หากปล่อยให้งานรัฐบาลสำเร็จเพิ่มขึ้นอีก ก็เป็นการยากที่จะมาต่อสู้กับรัฐบาล รวมถึงสิ่งที่รัฐบาลทำมา 2 ปีกว่า พวกที่เสียผลประโยชน์และรู้ว่าแข่งกับพรรคเพื่อไทยลำบากขึ้น ก็ต้องป่วนกันเต็มที่ขอให้ประชาชนเชื่อมั่น มั่นใจว่ารัฐบาลเดินมาถูกทาง ประชาชนยอมรับ ก็ต้องเดินต่อขอยืนยันว่าไม่มีการยุบสภาในช่วงนี้อย่างแน่นอน
นายอนุสรณ์กล่าวถึงกรณีที่ก่อนหน้านี้มีผู้ไปยื่นร้อง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่มิชอบหรือไม่ หลังจากที่ให้การสนับสนุน เครื่องปั่นไฟ น้ำดื่ม รถสุขาแก่ผู้ชุมนุมกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาและประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) บริเวณแยกอุรุพงษ์ รวมถึงไม่ยอมบังคับใช้ พ.ร.บ.รักษาความสะอาด และ พ.ร.บ.จราจร ว่าวันนี้พี่น้องประชาชนทั้งประเทศได้เห็นองค์ประกอบในความพยายามที่จะช่วยม็อบมาโดยตลอด แต่วันนี้คดีพลิก ถือเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ ม็อบหมามุ่ย จากผู้ได้รับประโยชน์ จะต้องลุกขึ้นมาทวงสิทธิ์ของตัวเอง เพราะแม้ผู้ร่วมชุมนุมที่แยกอุรุพงษ์ จะไม่มากเท่าที่สามเสน แต่รถสุขาก็ถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ นำรถสุขา รถปั่นไฟไปจอดเบียดกันที่สามเสนแน่นไปหมด ปล่อยเกาะ ลอยแพ ม็อบแยกอุรุพงษ์ คปท.ตาสว่างได้แล้ว ว่าพรรคประชาธิปัตย์ให้ราคาม็อบอุรุพงษ์แค่ไหน รวมถึงกรณีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) มีจดหมายเปิดผนึกถึง นายกรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภาเน้นย้ำรัฐบาลจะต้องไม่ใช้ความรุนแรงกับประชาชนในการแก้ไขปัญหา ว่านี่คือใบเสร็จที่แสดงชัด ชี้เจตนารมย์ของกรรมการสิทธิฯ ว่ามีแนวคิดทางการเมือง จุดยืนอย่างไร ยืนอยู่ข้างไหน และน่าเสียดายที่จดหมายเปิดผนึกแบบนี้มาช้าไป 3 ปี ที่เหตุการณ์เมษา-พฤษภา 53 กรรมการสิทธิฯ ไปหลับอยู่ที่ไหน แสดงว่าม็อบอภิสิทธิชนที่สามเสนเป็นม็อบมีเส้น ใครๆ ก็รุมกันช่วยคนละไม้คนละมือ