ปธ.ชมรมเสียงสตรีฯ จี้ชง กม.ให้บุคคลในองค์กรอิสระแสดงบัญชีทรัพย์สิน รองนายกฯ รับลูก มอบกฤษฎีกาแก้ ยันทัน รบ.ชุดนี้ ชมรมฯ ยังขอตรา กม.พัฒนาบทบาทสตรีฯ หวั่นยกเลิก-“พงศ์เทพ” มั่นใจแก้ ม.190 ฉลุยแม้ล่าช้า ยัน ปชช.ทราบความน่าจะเป็นพระวิหาร ไม่ฟันธงผลตัดสิน ยันสองชาติผลเป็นเช่นไรยึดความสัมพันธ์ ขออย่าขยายผลการเมือง
วันนี้ (17 ต.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ ประธานชมรมเสียงสตรีแห่งประเทศไทย และคณะ 40 คน เดินทางเข้าพบนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี เพื่อยื่นเรื่องขอให้รัฐบาลดำเนินการตรากฎหมายกำหนดให้บุคคลที่ทำหน้าที่ในองค์กรอิสระ และข้าราชการระดับสูงต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินก่อนและหลังดำรงตำแหน่ง โดยเฉพาะคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่มีหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตคอรัปชั่นในส่วนราชการ รวมทั้งข้าราชการระดับสูงในทุกกระทรวง ทุกหน่วยงาน และทุกรัฐวิสาหกิจ จะต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินก่อนและหลังพ้นจากการดำรงตำแหน่งแล้วเช่นเดียวกับนักการเมืองทุกคน นอกจากนี้ ยังขอให้มีการตรากฎหมายกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีแห่งชาติเพื่อป้องกันไม่ให้มีการยกเลิก
ด้านนายพงศ์เทพกล่าวว่า เรื่องดังกล่าวสอดคล้องและอยู่ในนโยบายของรัฐบาลอยู่แล้ว โดยได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาว่าจะต้องปรับแก้กฎหมายอย่างไร เพื่อจะให้ผู้ที่ปัจจุบันมีอำนาจเยอะแต่ไม่ต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินจะต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อสาธารณะ นอกจากนี้ ในช่วงนี้องค์กรไหนที่ต้องการจะแสดงความโปร่งใส แม้จะไม่มีกฎหมายกำหนดก็ตาม สามารถที่จะนำบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินที่ได้ยื่นไว้แต่ไม่มีการเปิดเผยนำมาเปิดเผยต่อสาธารณชนได้เลย ในอดีตก็เคยมี ส.ส.ทำแบบนี้มาแล้ว อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่ากฎหมายดังกล่าวจะทำในรัฐบาลชุดนี้แน่นอน
นายพงศ์เทพกล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ว่า ไม่น่าจะมีปัญหา แม้ตอนหลังสภาจะใช้เวลาในการพิจารณามากพอสมควร ถือเป็นเรื่องปกติที่พอเข้าใจได้ในสมัยนี้ว่ากฎหมายบางฉบับที่ล่าช้า เนื่องจากผู้ที่ไม่อยากให้ผ่านก็ต้องทำให้ช้าหน่อย
นายพงศ์เทพกล่าวถึงกรณีศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก นัดฟังคำตัดสินคดีตีความคำพิพากษา คดีปราสาทพระวิหาร วันที่ 11 พ.ย. ว่า รัฐบาลได้ทำความเข้าใจกับประชาชนในเรื่องนี้ไว้พอสมควร เราได้ชี้ให้ประชาชนเห็นแล้วว่าโอกาสที่คำพิพากษาจะออกมานั้นมี 4 แนวทางเท่านั้นไปทางอื่นไม่ได้ ประชาชนจะทราบแล้วว่าออกมาในรูปแบบไหนบ้าง ส่วนแนวโน้มคำพิพากษานั้นเราไม่สามารถทราบได้ เพราะเป็นเรื่องของผู้พิพากษาศาลโลก ท่านมีจริยธรรมในการเก็บความลับ
ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลเตรียมการรับมือผลกระทบความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาอย่างไร รองนายกฯ กล่าวว่า ที่ผ่านมานายกฯได้เดินทางไปที่กัมพูชาและได้พบกับสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ผู้นำทั้งสองฝ่ายเข้าใจกันไม่ว่าคำพิพากษาออกมาในรูปแบบไหนก็ตาม ไทยกับกัมพูชา ต้องรักษาความสัมพันธ์เพื่อให้เป็นประโยชน์กับประชาชนทั้งสองประเทศ ส่วนการนำเรื่องนี้ไปเคลื่อนไหวทางการเมือง ตนอยากให้ประชาชนใคร่ครวญด้วยเหตุผล และไม่อยากให้หยิบยกประเด็นนี้เพื่อประโยชน์ของตนเอง ขอให้คิดผลประโยชน์ของประเทศ อย่างไรก็ตามรัฐบาลไม่ได้หนักใจอะไร