ผ่าประเด็นร้อน
ถ้าจะบอกว่านี่คือ "สันดานของระบอบทักษิณ" และ ตัว ทักษิณ ชินวัตร ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดที่แสดงออกมาให้เห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆก็ไม่อาจผิดเพี้ยนไปนัก และเป็นสันดานที่แก้ไม่หาย เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาได้อำนาจรัฐครอบครอง
การระดมกำลังตำรวจจากทั่วประเทศนับหมื่นคนให้ละวางงานประจำที่มีอยู่ในมือชั่วคราว แล้วให้ขึ้นรถมุ่งหน้าเข้ามาในกรุงเทพมหานครอีกครั้ง เพื่อมาจัดการกับการชุมนุมของกลุ่มมวลชนที่เรียกว่า "กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ" และ "กองทัพธรรม"ที่ปักหลักชุมนุมอยู่หน้าทำเนียบรัฐบาล โดยอ้างว่าเป็นการรักษาความสงบเรียบร้อย หลังจากมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติความมั่นคงในราชอาณาจักร ซึ่งในบริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ควบคุมหลัก รวมทั้งพื้นที่ 3 เขตชั้นในคือ ป้อมปราบศัตรูพ่าย ดุสิต และพระนคร เป็นเวลาตั้งแต่วันที่ 9 -18 ตุลาคม
การระดมตำรวจเข้ามานับหมื่นนาย ขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมที่ตำรวจและฝ่ายรัฐบาลหยามหยันว่ามีแค่ "หยิบมือ" ไม่ว่ามองในมุมไหนถือว่าเกินกว่าเหตุ และมองว่าได้ชัดว่านี่คือการใช้ "รัฐตำรวจ"ข่มขู่คุกคาม เป็นการ"ใช้อำนาจเกินขอบเขต" ที่สำคัญยังเข้าข่ายการใช้อำนาจรัฐละเมิดสิทธิ์ขั้นพื้นฐานของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ
เพราะถ้าพิจารณาจากเจตนาของผู้ชุมนุมที่ยืนยันว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบ ไม่มีทีท่าที่จะก่อเหตุร้าย มิหนำซ้ำยังมีผู้ชุมนุมอีกส่วนหนึ่งเป็นผู้ถือศิลรัลประทานอาหารอาหาร"มังสวิรัติ" เสียอีก ดังนั้นด้วยจำนวนและลักษณะการชุมนุมที่เพียงแค่มีเจตนาคัดค้านการบริหารราชการแผ่นดินที่เห็นว่ามิชอบตามสิทธิ์ แต่สิ่งที่รัฐบาลตอบสนองอย่างทันท่วงทีก็คือการใส่ร้ายป้ายสีผู้ชุมนุมว่ามีอาวุธ ทั้งที่สิ่งตรวจค้นได้ก็เป็นแค่กรรไกร หรือคัตเตอร์ เท่านั้น รวมไปถึงอ้างว่าผู้ชุมนุมปิดถนน ทั้งที่ในความเป็นจริงเจ้าหน้าที่ตำวจต่างหากที่เป็นฝ่ายปิดถนนมาตั้งแต่แรก และมีการแถลงข่าวบิดเบือนอยู่ตลอดเวลาจนในที่สุดก็นำไปสู่การประกาศใช้พระราชบัญญัติความมั่นคงฯดังกล่าว
เหตุผลที่ฝ่ายรัฐบาลอ้างว่าเพื่อป้องกันเหตุฉุกเฉิน เนื่องจากในช่วงปลายสัปดาห์ตั้งแต่วันที่ 11-13 ตุลาคม เป็นช่วงที่ "แขกบ้านแขกเมือง" คือนายกรัฐมนตรีจีน หลี่ เค่อเฉียง จะมาเยือนไทย จึงต้องป้องกันไว้ก่อน ก็อาจฟังได้ แต่ก็สามารถเจรจาทำความเข้าใจกันได้ และเชื่อว่าฝ่ายผู้ชุมนุมก็คงเข้าใจถึงความจำเป็นดังกล่าว คงเห็นแก่หน้าตาประเทศชาติคงให้ความร่วมมืออย่างดีอยู่แล้ว หรือว่าเกรงว่าจะซ้ำรอยเหตุการณ์ที่ มีการ "ล้มการประชุมซัมมิตอาเซียน"เมื่อเดือนเมษยน ปี 52 ที่ตอนนั้น"ผู้นำจีนต้องหนีหัวซุกหัวซุน" จนเป็นเหตุการณ์อัปยศในประเทศที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย แต่ตอนนั้นเป็น"ฝีมือของคนเสื้อแดง ที่มี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นี่แหละใส่เสื้อแดงกำลังพูดคุยโทรศัพท์อยู่ดานล่างเวที เป็นเหตุการณ์ถ่อยเถื่อนสุดประมาณ แต่นั่นเป็นฝีมือของบรรดา "ขี้ข้าของทักษิณ ชินวัตร" ที่รับบัญชาให้ป่วนกันทุกทางเพื่อชิงอำนาจและทรัพย์สมบัติกลับมาให้นายเท่านั้น
แต่นี่มันตรงกันข้ามทุกเรื่อง รัฐบาลกลับ "บ้าอำนาจ" ข่มขู่คุกคาม ประชาชนที่เห็นว่าอยู่ตรงข้าม สิ่งที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขต และมี"เจตนาซ่อนเร้น"บางอย่าง เพราะเมื่อพิจารณาจากการระดมกำลังตำรวจเข้ามานับหมื่นนาย และการประกาศใช้ "กฎหมายพิเศษ" มาบังคับ มันก็น่ามองได้ว่า "มีเจตนาเล็งเห็นผลบางอย่าง"ด้วยเหมือนกัน
คนที่ตั้งข้อสังเกตให้เห็นภาพก็คือ "พลตรี มจ.จุลเจิม ยุคล" ที่มองว่านอกจากมีเจตนาข่มขู่คุกคามประชาชนแล้ว ยังดูเหมือนว่ามีเจตนาข่มขู่คุกคามอำนาจอธิปไตยด้านอื่น เช่น ศาล รัฐสภา ฝ่ายค้าน และที่สำคัญยังเหมือนกับว่าต้องการ "ข่มขู่สถาบันหลักเป็นศูนย์รวมจิตใจของปวงชนชาวไทย" ด้วยหรือไม่ เพราะเห็นว่านี่คือพฤติกรรมที่มิชอบของรัฐบาลอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ดีอีกด้านหนึึ่ง นี่คือการแสดงให้เห็นภาพสะท้อนความเป็น "รัฐตำรวจ" ของระบอบทักษิณ ที่มักใช้กลไกตำรวจเป็นเครื่องมือในการจัดการฝ่ายตรงข้าม และนับวันจะยิ่งหนักข้อขึ้น เพราะแม้ว่าในช่วงแรกอาจจะใช้ได้ผล ก่อให้เกิดความหวาดกลัวได้บ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไปประกอบกับผลงานของรัฐบาลเองที่ "ล้มเหลว"ทุกด้าน จนสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว รวมไปถึงพฤติกรรมของตำรวจที่รับใช้ ล้วนออกมาเป็นภาพลบอยู่ทุกวัน ก็ยิ่งสร้างความโกรธแค้น และการต่อต้านก็ยิ่งขยายวง แม้วันนี้พรุ่งนี้กำลังตำรวจที่ระดมมามากมายมหาศาลจะสามารถบดขยี่กลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มนี้ได้สำเร็จ จนย่ามใจเพิ่มขึ้น แต่นั่นไม่ใช่หมายถึงชัยชนะในหัวใจประชาชน ตรงกันข้ามนั่นกลับกลายเป็นความเกลียดชังที่เพิ่มขึ้น และสะท้อนภาพความเสื่อมทรุด ล้มเหลวในการแก้ปัญหา ซึ่งนับวันก็ยิ่งมากขึ้น นับวันก็ยิ่งสะอิดสะเอียน !!