นช.ทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งตัวแทนสมุนบริวารของเขาอย่างเช่น นายนพดล ปัทมะ พูดอยู่เสมอว่าตัวเขานั้นมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่เคยคิดร้ายจาบจ้วงล่วงละเมิด อย่างที่ถูกกล่าวหา
เป็นความพยายามที่จะลบล้างพฤติกรรม และคำพูดที่หลุดออกสู่สาธารณะด้วยความย่ามใจ เหลิงลำพองในอำนาจ หลายครั้งหลายครา หลังจากที่ต้องยอมรับความจริงว่าการทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเปิดเผยนั้นไม่เป็นผลดีต่อตัวเองเพราะคนไทยรับไม่ได้
แต่ในใจของ นช.ทักษิณคิดอะไรอยู่ เจตนาที่แท้จริงของเขาคืออะไร เพียงแค่คำพูดว่าผมจงรักภักดีไม่อาจปกปิดทัศคติที่แท้จริงของเขาได้ เพราะในขณะที่ปากพูดว่าจงรักภักดีในที่แจ้ง วาจาลับหลังและการขับเคลื่อนทางการเมืองมันฟ้องว่าเขาคิดอย่างไร
กรณีนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทูลเกล้าฯ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มาของสมาชิกวุฒิสภา ทั้งๆ ที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้ ยังอยู่ในขั้นตอนการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่า ขัดต่อมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญปี 2550 ตามที่มีผู้ยื่นคำร้องหรือไม่ หาก นช.ทักษิณจงรักภักดีจริง เขาย่อมจะต้องสั่งให้นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา เก็บร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านการลงมติเห็นชอบวาระ 3 ไว้ก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนุญจะมีคำวินิจฉัยออกมา อย่าเพิ่งส่งให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ
หรือ สั่งให้น้องสาวชะลอการทูลเกล้าฯ เอาไว้ก่อน โดยอาศัยเงื่อนไขตามมาตรา 154 แห่งรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งบัญญัติว่าร่าง พ.ร.บ.ใดที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ตามมาตรา 150 หรือร่าง พ.ร.บ.ใดที่รัฐสภาลงมติยืนยันตามมาตรา 151 ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ อีกครั้งหนึ่ง(1) หาก ส.ส. ส.ว.หรือสมาชิกของทั้ง 2 สภารวมกัน ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ เห็นว่าร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ให้เสนอความเห็นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือประธานวุฒิสภา ส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยและแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยไม่ชักช้า
ทั้ง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์และกลุ่ม 40 ส.ว.ได้ใช้สิทธิ ตามมาตรา 154 ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เป็นตัวช่วยประคับประคอง เผือกร้อนในมือของนายกฯ ที่ประธานรัฐสภา โยนมาให้ แต่ นช.ทักษิณไม่สนใจ สั่งให้ยิ่งลักษณ์ทูลเกล้าฯ ทันที
สถาบันพระมหากษัตริย์มีเวลา 90 วันที่จะพิจารณาว่าจะทรงลงพระปรมาภิไธยในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้หรือไม่ มาตรา 150 แห่งรัฐธรรมนูญ 2550 บัญญัติว่า หากพระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยและพระราชทานคืนมายังรัฐสภา หรือเมื่อพ้น “เก้าสิบวัน” แล้วมิได้พระราชทานคืนมา รัฐสภาจะต้องปรึกษาร่างพระราชบัญญัตินั้นใหม่
ถ้ารัฐสภายืนยันตามมติเดิมด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ให้นายกรัฐมนตรีนำร่างพระราชบัญญัตินั้นทูลเกล้าฯ ใหม่ หากมิได้ลงพระปรมาภิไธยพระราชทานลงมาภายใน 30 วัน ให้นายกรัฐมนตรีนำพระราชบัญญัตินั้นประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาเสมือนหนึ่งว่าทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว
นช.ทักษิณเอาชนะพรรคประชาธิปัตย์และสมาชิกวุฒิสภาที่ไม่เห็นด้วยกับร่างแก้ไข รัฐธรรมนุญเรื่องที่มาของ ส.ว.โดยอาศัยเสียงข้างมากในรัฐสภาได้แล้ว เหลือเพียงด่านสุดท้ายก่อนที่จะถึงสุดซอย คือสถาบันพระมหากษิตริย์ที่มีคณะองคมนตรีอันมีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นประธาน เป็นผู้ถวายคำแนะนำ
พระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมืองแต่ไม่อยู่เหนือกฎหมาย คณะองคมนตรีคงจะต้องถวายคำแนะนำโดยพิจารณาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นหลักหากวินิจฉัยว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญ เรื่องก็จะจบลงด้วยดี หากวินิจฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด คณะองคมนตรีคงจะไม่ถวายคำแนะนำให้พระองค์ทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย
นช.ทักษิณไม่อยู่เหนือการเมือง แต่อยู่เหนือกฎหมาย มีสถานะเดียวกับผู้นำในระบบสมบูรณาญาสิทธิราช ไม่ต้องรับผิดชอบกับการกระทำใดๆ ของตัวเอง การสั่งให้น้องสาวทูลเกล้าฯ กฎหมายที่ยังมีข้อสังสัยอยู่ว่าขัดรัฐธรรมนุญหรือไม่ โดยไม่รอให้มีความชัดเจนก่อน ทั้งที่สามารถรอได้
อย่างนี้ใม่เรียกว่าลองดี ท้าชน กับสถาบันพระมหากษัตริย์ จะเรียกว่าอะไร