รองโฆษกรัฐบาล เผยนายกฯ ส่ง “ปลอดประสพ” ดูผลกระทบปล่อยน้ำเขื่อนป่าสักฯ พร้อมอธิบายแผนจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน ยันรัฐบาลดูแลได้ มีอะไรจะเตือนล่วงหน้า ปัดนายกฯ ส่งสัญญาณปรับ ครม.ชี้หมอดูพูดไม่ถูกเสมอไป โวรัฐบาลมีความจริง-ความดี โต้ “อภิสิทธิ์” รัฐเจรจาสันติภาพก่อเหตุลด ยันอัดงบพัฒนามากกว่าสมัย ปชป.
วันนี้ (4 ต.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ประชาชนเป็นกังวลเกี่ยวกับการระบายน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา จะส่งผลทำให้สถานการณ์น้ำท่วมในบางพื้นที่มีความรุนแรงมากขึ้นว่า รัฐบาลขอยืนยันว่าการระบายน้ำอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม และมีการควบคุมระดับน้ำตลอดเวลา โดยขณะนี้มีการระบายน้ำเพียง 600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งถือว่ายังต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ ไม่ให้เกิน 800 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และต่ำกว่าการระบายน้ำในปี 2554 ที่มีการระบายน้ำวันละ 1,100 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ดังนั้น จึงขอให้พี่น้องประชาชนสบายใจได้ว่า การระบายน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์จะไม่เกิดผลกระทบรุนแรง
“สาเหตุที่ต้องระบายน้ำเพราะระดับน้ำในเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ขณะนี้อยู่ที่ระดับ 95-96 เปอร์เซ็นต์ มีปริมาณน้ำประมาณ 500-600 ล้านลูกบาศก์เมตร และมีการระบายน้ำออกวันละประมาณ 48 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยจะระบายน้ำจนกว่าระดับน้ำอยู่ในปริมาณที่ปกติ ขอยืนยันว่า สถานการณ์น้ำท่วมในขณะนี้อยู่ในวิสัยที่รัฐบาลยังดูแลได้ และประชาชนจะได้รับการดูแลและเตือนภัยล่วงหน้า” รองโฆษกรัฐบาลกล่าว
ร.ท.หญิงสุณิสา กล่าวต่อว่า ในวันอาทิตย์ที่ 6 ต.ค. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี พาคณะสื่อมวลชนลงไปดูสถานการณ์น้ำท่วมและผลกระทบจากการระบายน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และ จ.อ่างทอง รวมทั้งให้อธิบายถึงโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ของรัฐบาลที่จะแก้ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากในพื้นที่ได้อย่างไร และชี้แจงการจัดตั้งกระทรวงน้ำและรูปแบบการแก้ปัญหาน้ำ 9 โมดูล ของ กบอ.ว่าจะช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืนอย่างไร ซึ่งจะเป็นการยืนยันไปในตัวด้วยว่า รัฐบาลไม่ได้เดินหน้าโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท โดยไร้แผนงาน
ร.ท.หญิง สุณิสา กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีว่า นายกรัฐมนตรียังไม่ได้ส่งสัญญาณการปรับ ครม แต่อย่างใด มีแต่สั่งการให้รัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลแต่ละพื้นที่ และลงไปดูแลให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่ ส่วนกระแสข่าวที่มีหมอดูทำนาย เหตุการณ์วันที่ 8 ต.ค.ว่าจะส่งผลกระทบต่อรัฐบาลนั้น รัฐบาลเห็นว่าเป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคล
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาก็มีตัวอย่างให้เห็นหลายครั้งว่า คำพูดของหมอดูก็ไม่ได้ถูกต้องเสมอไป แต่การบริหารงานของรัฐบาล คงไม่สามารถยึดคำทำนายของหมอดูเป็นหลักได้ แต่ต้องบริหารประเทศบนหลักของความจริง และความดี คือ การบริหารด้วยความสุจริต โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม หลังจากนั้น อนาคตของประเทศ และรัฐบาลจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพี่น้องประชาชน แต่ขอยืนยันว่า กระแสข่าวที่เกิดขึ้นไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของรัฐบาล ทั้งในเรื่องการแก้ไขปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และสถานการณ์น้ำท่วม
นอกจากนี้ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกระบวนการพูดคุยภาคใต้ของรัฐบาลว่าเดินไม่ถูกทางนั้น รัฐบาลขอยืนยันว่า กระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพ ส่งผลดีต่อสถานการณ์ภาคใต้ โดยตัวชี้วัดคือ สถิติการสูญเสียของประชาชนผู้บริสุทธิ์ และจำนวนเหตุร้ายต่างๆ ที่ลดน้อยลงกว่าสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ โดยสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ในปี 2552 มีผู้เสียชีวิต 495 ราย และมีเหตุรุนแรง 1,348 ครั้ง แต่ในปี 2556 สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มีผู้เสียชีวิต 185 ราย และมีเหตุรุนแรง 600 ครั้ง นอกจากนี้ จากผลโพลก็พบว่าประชาชนในพื้นที่สนับสนุนและเห็นด้วยกับกระบวนการพูดคุย
ทั้งนี้ ขอยืนยันว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ทุ่มเทกำลังพลและงบประมาณเพื่อการพัฒนาถนน ไฟฟ้า น้ำประปา ระบบการศึกษา และให้เกียรติประชาชนในพื้นที่ มากกว่าสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์อย่างแน่นอน แต่ปัญหาในพื้นที่ที่น่าเป็นห่วงในขณะนี้ คือ ความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์เรื่องยาเสพติด น้ำมันเถื่อน ปัญหาผู้มีอิทธิพลในพื้นที่และการเมืองท้องถิ่น ซึ่ง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ น่าจะรู้เรื่องเหล่านี้ดี ส่วนที่นายอภิสิทธิ์ โจมตีว่า กระบวนการพูดคุยไม่มีความรัดกุมนั้น ขอให้นายอภิสิทธิ์ สบายใจได้ว่า ทีมงานที่ทำหน้าที่พูดคุย มีความมุ่งมั่นในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศ และจะไม่ยอมให้เกิดการแบ่งแยกดินแดนเป็นอันขาด ส่วนกรณีที่ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก หนึ่งในทีมพูดคุย ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมนั้น ก็คงไม่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการพูดคุย เพราะ พล.อ.นิพัทธ์ ได้แจ้งให้รัฐบาลทราบว่า ยังพร้อมทำหน้าที่ในทีมพูดคุยต่อไป เพื่อความต่อเนื่องในการทำงาน