รายงานการเมือง
มาๆ หายๆ แต่มีความพยายามอยู่ตลอดเวลา สำหรับแนววคิดผุดกระทรวงลำดับที่ 21 ของประเทศไทยอย่าง “กระทรวงน้ำ” ที่มีการพูดถึงกันมานมนาน หวังจะให้มาดูแลจัดการเกี่ยวกับน้ำในประเทศ และถูกพูดกันถี่ขึ้นเรื่อยๆ หลังผ่านพ้นเหตุการณ์มหาอุทกภัยถล่มกรุงเมื่อปี 2554
หลังจากนั้นก็เงียบเชียบไม่ค่อยหวือหวาอะไร มีข่าวบ้าง ไม่มีข่าวบ้าง จนหลายคนคิดว่า เป็นเพียงแนวคิดสวยหรู จับต้องไม่ได้ กระทั่งต้องชะเง้อดู เพราะล่าสุด “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี ดันมอบหมายในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ไปศึกษาร่าง พ.ร.บ.จัดตั้งกระทรวงน้ำมา
พอ “ปูกรรเชียง” ออกมาแอ็กชันอย่างเป็นทางการแบบนี้ จากที่ไม่ค่อยมีใครสนใจ ต้องรีบหันขวับกลับมามองที่ “กระทรวงน้ำ” เพราะจับอาการคำบัญชาการดังกล่าวแทบไม่ต่างอะไรจากการส่งสัญญาณตีธงเร่ง “ปั้นฝัน” ให้เป็นจริงให้จงได้
เรื่องของเรื่องดูกันตามสภาพอยู่ๆ มาเล่นบทพิศวาส “กระทรวงน้ำ” กันดื้อๆ ชั่วโมงนี้ หากมองดูสถานการณ์น้ำท่วมทั่วประเทศ ที่หลายๆ พื้นที่กำลังประสบชะตากรรมอย่างหนักอาจมองได้ว่า รัฐบาลเกิดอาการอยากอิงกระแสให้พี่น้องประชาชนเห็นว่า มุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาน้ำแบบเป็นจริงเป็นจัง ไม่ได้อยู่เฉยๆ
และถ้าเบื่อปัญหาซ้ำซากแบบนี้ที่เกิดขึ้นทุกปีควรหันมาสนับสนุนอภิมหาโปรเจกต์อย่างโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท
กับอีกนัยหนึ่งที่ต้องออกมาชู “กระทรวงน้ำ” ตอนนี้ เป็นเพราะเรื่องของ “น้ำท่วม-น้ำแล้ง” ได้กลายมาเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่เข้ามามีส่วนได้ส่วนเสียกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์เข้าเสียแล้ว ตั้งแต่ผ่านพ้นวิกฤตการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อสองปีก่อน ชนิดไม่ว่ารัฐบาลจะทำประสบความสำเร็จ หรือล้มเหลวจำเป็นต้องรับชะตากรรมด้วยตัวเองทั้งสิ้น ในฐานะโต้โผใหญ่
เมื่อเรื่องน้ำได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของหน้าตา หรืออีกปัจจัยที่วัดระดับฝีมือได้ รัฐบาลจึงจำเป็นจะต้องทุ่มให้ดูเป็นรูปเป็นร่างมากที่สุด และรีบขจัดตัวปัญหาให้ได้ เพราะขืนยังปล่อยให้การแก้ไขปัญหาเป็นแบบสภาพเดิมคือ ไม่มีเอกภาพ ต่างคนต่างทำงาน การแก้ไขปัญหาล่าช้าแล้ว นอกจากจะโดนโจมตีว่า ไร้ฝีมือแล้ว ยังจะถูกสาดใส่ด้วยว่า ดีแต่ผลาญงบไปวันๆ
ต้องอย่าลืมว่า ตลอดระยะเวลาสองปีของการแก้ไขปัญหาน้ำของ “พญาปลอด-ปลอดประสพ สุรัสวดี” นอกจากงานอีเวนต์ถลุงงบสร้างภาพแล้ว การทำงานของ กบอ. แทบไม่มีอะไรแตกต่างจากก่อนน้ำจะถล่มกรุงเมื่อปลายปี 2554 เลยแม้แต่นิด
การ “บูรณาการ” หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับน้ำมารวมศูนย์อยู่ที่ กบอ.แทบจะเป็นเพียงคำสวยหรู เพราะสภาพความเป็นจริง มันออกมาในทางตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
เห็นได้จากเวลาเกิดปัญหาน้ำท่วมแต่ละครั้ง มักจะมีการปล่อยข่าวออกมาจากบรรดาลิ่วล้อ “นายใหญ่” อยู่เสมอว่า ต้นตอที่แก้ไม่ได้ เป็นเพราะพรรคเพื่อไทยไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการบริหารจัดการน้ำ
โดยเฉพาะ “กรมชลประทาน” สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ดูแลเรื่องการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐมนตรีสั่งการอย่าง “เติ้ง เสี่ยวหาร-บรรหาร ศิลปอาชา” เจ้าของพรรคชาติไทยพัฒนาตัวจริง
ซึ่งที่ผ่านมาบรรดาสมุนในพรรคเพื่อไทยพยายามเดินเกม “ทวงคืน" กระทรวงเกษตรฯตลอดมา รวมถึงตัว “เดอะปลอด” เองด้วย แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะยังมีลูกเกรงใจกันระหว่าง “นายใหญ่-ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี กับ “เติ้ง เสี่ยวหาร” อยู่
บ่อยครั้ง “เดอะปลอด” ยังโดน “เติ้งเสี่ยวหาร”ด่าเปิงผ่านสื่อไม่รู้กี่ครั้ง เพื่อพิสูจน์ให้เห็นถึงสายสัมพันธ์ที่ตัวเอง “แข็ง” กว่าเยอะ
เมื่อไม่สามารถหักหาญน้ำใจกันได้ วิธีเดียวที่จะทำให้ “กรมชลประทาน” มาอยู่ในอ้อมอกพรรคเพื่อไทยได้คือ การจัดตั้ง “กระทรวงน้ำ” ขึ้นมาเพื่อดูดเอากรมและกองต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับน้ำทั้งหมดมาอยู่ในการดูแลแบบอัตโนมัติ แต่ก็ใช่ว่าจะราบรื่นดังใจคิด เพราะ “เติ้ง เสี่ยวหาร” ก็ยังเป็น “จงอางหวงไข่” ไม่ละมือให้ เนื่องด้วย “กรมชลประทาน” เปรียบเสมือนหัวใจของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หากขาดไปแทบจะหมดราคา
จึงค้างเติ่งกันอยู่เรื่อยๆ แต่พอ “ปูกรรเชียง”ออกมาโบกธงเขียวให้ผ่าน เรื่องนี้จึงถูกมองไปที่ “เติ้ง เสี่ยวหาร” จะยอมให้หรือไม่
แต่จับทิศทาง “ปูกรรเชียง” ที่ไม่เร่งรีบเท่าไหร่ เพียงแต่ให้เริ่มทำกันอย่างจริงจัง ย่อมอาจมองได้ว่า เวลาต่อจากนี้คงต้องเริ่มปฏิบัติการเคลียร์กันเพื่อขอแต่โดยดี
ขณะที่เรื่องร่าง พ.ร.บ.จัดตั้งกระทรวงน้ำ อันนั้นไม่ใช่ปัญหา เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แม้ข่าวคราวเรื่อง “กระทรวงน้ำ” ดูจะเงียบไม่มีความเคลื่อนไหว
แต่แท้จริงแล้ว “เดอะปลอด” และกบอ.ได้ซุ่มร่างกันมาตลอด เหลือแค่รอทางลมเท่านั้น อีกอย่างไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะก่อนหน้านี้หน่วยงานต่างๆ ได้ศึกษากันมาแล้วไม่รู้กี่ฉบับ หากจะนำมาคลุกเคล้ากันก็ใช้เวลาแค่อึดใจเดียว
เพราะเอาเข้าจริงๆ “กระทรวงน้ำ” ไม่ได้มีปัญหาเรื่องรายละเอียดกฎหมาย แต่ปัญหาอยู่ที่กระทรวงเกษตรฯ ไม่ยอมปล่อย "กรมชลประทาน" ออกมาจากอ้อมอกต่างหาก ยิ่งเป็นยุคของ “เติ้งเสี่ยวหาร” ยิ่งยากเป็นเท่าทวี เพราะกรมดังกล่าวเป็นอู่ข้าวอู่น้ำมาช้านาน
ตามสภาพเลยต้องรอดูว่า สุดท้าย “ปลาไหลตัวพ่อ” จะว่าอย่างไร
อย่างไรก็ตาม นอกจากการบริหารจัดการน้ำแบบเบ็ดเสร็จ อีกเป้าหมายที่ต้องเร่งสานฝัน “กระทรวงน้ำ” ให้เป็นตัวเป็นตนให้เร็วที่สุด ก็เนื่องจากโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ยังต้องการหน่วยงานที่มีศักดิ์และสิทธิ์มากกว่า “กบอ.” มาบริหารจัดการได้อย่างชอบธรรม หรือง่ายๆ คือ ต้องการ “กระทรวงน้ำ” มาเป็นศูนย์รวมอำนาจเพื่อบริหารทั้งงบประมาณและโครงการขนาดใหญ่ด้วยตัวเอง
ยิ่งมีงบประมาณที่กองพะเนินจากแต่ละหน่วยงานเกรดดับเบิ้ลเอที่จะถูกดึงดูดเข้ามา ยังไม่นับรวม 3.5 แสนล้านบาทที่ กบอ.มีอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งต้องเร่งปั้นฝันกันให้เร็วที่สุด
และงานนี้คนที่กระเหี้ยนกระหือรือมากที่สุดก็หนีไม่พ้น “เดอะปลอด” ที่ต่างทราบกันว่า ใฝ่ฝันอยากจะเป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงน้ำ” คนแรกของประเทศไทยใจจะขาดอยู่แล้ว
ยิ่งหากในบั้นปลายได้รับไฟเขียวให้ดันกันได้แบบทางโล่ง ทีนี้ได้กร่างเป็น “พญาปลอด” สมใจเป็นแน่
แต่อย่างไรก็ดี ตามสภาพรวมๆ การขับเคลื่อนเรื่อง “กระทรวงน้ำ” ของรัฐบาลหนนี้ ยังดูพุ่งเป้าไปที่เรื่องบริหารขุมทรัพย์ และอภิมหาโปรเจ็กต์เป็นหลักมากกว่า โดยมีเรื่องความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชนที่ต้องพบชะตากรรมน้ำท่วมซ้ำซากมาคอยบังหน้าตามเคย
เรียกว่า เป็นความต้องการของตัวเองล้วนๆ!!