ศาล รธน.สั่งรับอีก 2 คำร้องแก้ รธน.ที่มา ส.ว.เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง ของกลุ่ม 40 ส.ว. และ “พีระพันธุ์” กรณี ส.ส.เสียบบัตรแทนกัน แต่ไม่รับคำร้อง “เรืองไกร” ร้องเล่นงาน ปชป.เสนอศาลวินิจฉัยเรื่องที่มา ส.ว.อีกด้านตีตกคำร้อง “ประสงค์” ส.ว.สรรหา แหล่งข่าวระบุ สั่งรวมคำร้อง “สมเจตน์-วิรัตน์” ชี้ลงวาระ 3 เป็นดุลพินิจ
วันนี้ (27 ก.ย.) ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 1 รับคำร้องที่ นายสาย กังกเวคิน ส.ว.ระยอง และคณะ (กลุ่ม 40 ส.ว.) และคำร้องที่ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และคณะขอให้วินิจฉัยเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มาของ ส.ว.ซึ่งมีขั้นตอนดำเนินการเร่งรีบ รวบรัด ไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด และมีการเสียบบัตรแทนกันของสมาชิกรัฐสภา ว่าเข้าข่ายเป็นการล้มล้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 หรือไม่ไว้พิจารณาวินิจฉัย เนื่องจากเห็นว่ามีมูลกรณีเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองโดยวิถีทางที่ไม่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ส่วนคำขอให้ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวสั่งระงับการลงมติวาระ 3 นั้น ศาลมีคำสั่งยกคำขอ สำหรับตุลาการเสียงข้างน้อย นายชัช ชลวร เห็นว่า เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ให้เฉพาะอัยการสูงสุดเท่านั้น เป็นผู้มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ผู้ทราบการกระทำดังกล่าวไม่มีสิทธิยื่นตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้ยังมีมติ 4 ต่อ 2 ไม่รับคำร้องที่ นางเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา ขอให้วินิจฉัยว่าการที่ นายวิรัตน์ กัลยาศิริ และพรรคประชาธิปัตย์ โดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเกี่ยวกับการที่ประธานรัฐสภาและสมาชิกรัฐสภารวม 310 คน เข้าชื่อเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาของ ส.ว.นั้น ถือว่าการกระทำของนายวิรัตน์ และพรรคประชาธิปัตย์เป็นการใช้อำนาจเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีทางที่ไม่เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เป็นเหตุให้ต้องยุบพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ เนื่องจากเห็นว่าการยื่นคำร้องของนายวิรัตน์ และพรรคประชาธิปัตย์ ต่อศาลรัฐธรรมนูญ ถือเป็นสิทธิของบุคคลเมื่อทราบว่าการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญมาตรา 68 อีกทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงตามคำร้องว่านายวิรัตน์ และพรรคประชาธิปัตย์ ใช้สิทธิและเสรีภาพ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการที่มิได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ คำร้องของนายเรืองไกร จึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์จึงสั่งไม่รับ
นอกจากนี้ ยังไม่รับคำร้องที่นายประสงค์ นุรักษ์ ส.ว.สรรหา กับคณะ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 69 ว่าการประชุมแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มา ส.ว.ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญมาตรา 291 และมาตรา 3 หรือไม่ เนื่องจากเห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำร้องไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ
แหล่งข่าวจากศาลรัฐธรรมนูญ เปิดเเผยว่า คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งรวมคำร้องของพล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหา กับคณะ และนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่าร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับที่มาของ ส.ว.ว่าเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 เข้าเป็น 1 สำนวน เนื่องจากมีเนื้อหาคำร้องที่มีลักษณะเดียวกัน ส่วนกรณีที่รัฐสภาได้นัดประชุมเพื่อลงมติวาระ 3 ในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวนั้น ก็เป็นดุลพินิจของรัฐสภาที่จะดำเนินการ เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้มีคำสั่งระงับ หรือกำหนดมาตราคุ้มครองชั่วคราวการแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าว ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าสมาชิกรัฐสภาบางส่วน จะอาศัยรัฐธรรมนูญ มาตรา 154 เพื่อยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ไม่สามารถมีความเห็นได้
อนึ่ง ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 25 ก.ย.ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 2 สั่งรับคำร้องกรณีคำร้องของ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหา กับพวก และคำร้องของนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยมาตรา 68 ว่า นายนิคม ไวยรัชพานิช ในฐานะรองประธานรัฐสภา กับพวกรวม 310 คน ได้ร่วมกันเข้าชื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ ... พ.ศ. ...ในประเด็นเกี่ยวกับที่มาของ ส.ว.ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ถือเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่ไม่ได้บัญญัติไว้รัฐธรรมนูญ
โดยศาลเห็นว่ากรณีมีมูลเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปโดยวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 วรรคหนึ่ง จึงมีคำสั่งให้รับคำร้องทั้ง 2 คำร้องนี้ไว้พิจารณาวินิจฉัย ส่วนคำขอให้ศาลมีคำสั่งระงับกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวเป็นกรณีฉุกเฉินให้ระงับการพิจารณาการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนั้นศาลมีคำสั่งให้ยกคำขอ
