xs
xsm
sm
md
lg

“ชวนนท์” โต้กลับ “เด็จพี่” ชี้ “ชัชชาติ” ก็ลอกนโยบาย-“สุรนันทน์” โวกู้ 2 ล้านล้าน มีเงินทำการศึกษา-สาธารณสุข มากขึ้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ภาพจากแฟ้ม)
โฆษกเพื่อไทย เปิดประเด็น อ้าง “สุเทพ” ยื่นบัญชีทรัพย์เท็จ จ่อหอบซองน้ำตาลร้อง ป.ป.ช. สอบ เหน็บ ปชป.ลอกเลียนโลโก้ โครงการไทยแลนด์ 2020 ตลกร้ายทางการเมือง “ชวนนท์” โต้ตามรอยโอ๊ค เล่นไม่เลิกเรื่องลอกโลโก้ ยกคำ “ชัชชาติ” ยอมรับลอกโครงการ ปชป.ไปใส่ในแผนกู้เงิน 2 ล้านล้าน “สุรนันทน์” โต้ ปชป.กู้ 2 ล้านล้าน มีเงินไปใช้พัฒนาการศึกษา-สาธารณสุข มากขึ้นแน่

วันนี้ (24 ก.ย.) ที่รัฐสภา นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงตั้งข้อสังเกตถึงการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี ได้แจ้งต่อคณะกรรมการป้องกันละปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หลังพ้นจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 ส.ค.2555 ว่าเป็นความผิดปกติ โดยนายสุเทพ แจ้งว่ามีที่ดินจำนวน 568 ไร่ ปลูกยางพาราและปาล์มน้ำมัน ซึ่งมีรายได้ 41 ล้านบาทต่อปี

แต่เมื่อสอบถามข้อมูลจากผู้รู้ ภายใน 1 เดือน กรีดยางได้ 20 วัน ตกวัน 500 บาทต่อ 1 ไร่ และใน 1 ปี สามารถกรีดยางได้ผลผลิตเต็มที่ 8 เดือน อีก 4 เดือน ต้นยางจะผลัดใบ และการทำสวนยางในภาคใต้เป็นการแบ่งรายได้ระหว่างเจ้าของ และผู้รับจ้างกรีดยางคนละ 50 ต่อ 50 ดังนั้นเมื่อคำนวณแล้วไม่มีความสอดคล้องกับการแสดงบัญชีทรัพย์สิน นายสุเทพ น่าจะมีที่ดินมากกว่านี้หรือไม่ ซึ่งจะรวบรวมหลักฐานเพื่อยื่นต่อ ป.ป.ช.ในเร็วๆ นี้ เพื่อตรวจสอบต่อไป นอกจากนี้ยังพบว่าผิดปกติกรณี นางโสภา กาญจนะ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์ต่อ ป.ป.ช.ก่อนเข้ารับตำแหน่ง แจ้งมีที่ดินในครอบครอง 543 ไร่ โดยทำสวนยาง แต่มีรายได้แค่ 1 ล้านบาทต่อปี ซึ่งสวนทางกับความเป็นจริง

สำหรับกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ลอกเลียนโลโก้ โครงการไทยแลนด์ 2020 แต่กลับมากล่าวหาว่ารัฐบาลเป็นฝ่ายลอกพรรคประชาธิปัตย์ เพราะได้ริเริ่มโครงการนี้มาตั้งแต่สมัยเป็นรัฐบาลนั้น เป็นตลกร้ายทางการเมือง โดยเฉพาะที่ออกมาบอกว่าหากพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลจะไม่ต้องกู้เงินถึง 2 ล้านล้านบาท แต่จะใช้งบประมาณปกติเพียง 1.2 ล้านล้านบาท แต่เมื่อตรวจสอบแล้วกลับไม่พบว่าสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยนำเสนอหรือพูดถึงเรื่องดังกล่าว

ด้าน นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความสมเพชต่อวิธีการให้ข้อมูลกับประชาชนของ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ที่ยังกล้าอ้างว่าพรรคประชาธิปัตย์ลอกเลียนแบบโลโก้อนาคต 2020 ที่พรรคประชาธิปัตย์นำมาเพื่อเปรียบเทียบให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการวางอนาคตประเทศระหว่างพรรคเพื่อไทย กับประชาธิปัตย์ แตกต่างกันอย่างไร ตนคิดไม่ถึงว่าตั้งแต่นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนักโทษหนีคดี มาถึงลิ่วล้อ คือ นายพร้อมพงศ์ จะเบาปัญญาไม่แตกต่างกัน จึงขอให้ข้อมูลที่เป็นความจริงกับบุคคลทั้งสองได้เปิดสมองให้เกิดปัญญาขึ้นมาบ้างว่า ใครลอกงานใคร

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้อ้างถึงคำสัมภาษณ์ของนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม ที่ยอมรับกับสื่อมวลชนว่าโครงการส่วนใหญ่ในแผนกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทนั้น เป็นโครงการเดิมที่พรรคประชาธิปัตย์ได้วางแผนไว้ในขณะที่เป็นรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นแผนแม่บทรถไฟรางคู่ หรือรถไฟความเร็วสูง ซึ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ดึงออกมาจากระบบงบประมาณปกติไปใส่ไว้ในการกู้เงินนอกระบบงบประมาณ สะท้อนความตกต่ำของพรรคเพื่อไทยในสองเรื่อง คือ หมดปัญญาคิดโครงการดีๆ แล้วยังต้องกู้เงินสร้างหนี้ให้ประเทศ 50 ปีด้วย เพราะตามแผนของพรรคประชาธิปัตย์นั้น ไม่จำเป็นต้องกู้เงินนอกระบบแต่เป็นการจัดสรรงบประมาณตามระบบปกติ ตรวจสอบได้ ไม่ส่งผลต่อหนี้สาธารณะ และสถานะการคลังประเทศ

“เราวางรากฐานไว้อย่างมั่นคงก่อนที่จะส่งมอบการบริหารต่อให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งวันนี้พิสูจน์แล้วว่านอกจากไร้ฝีมือในการบริหารประเทศ ปราศจากความรับผิดชอบต่อประชาชน โกงกินมูมมามแล้ว ยังกำลังจะทำให้ประเทศเสี่ยงต่อความล่มสลายด้วย เพราะผมเชื่อว่าเงินกู้ 2 ล้านล้าน บวกดอกเบี้ยเป็น 5.16 ล้านล้านบาทนั้น รัฐบาลไม่มีปัญญาหารายได้มาใช้หนี้ แต่จะเป็นการหมุนหนี้คือกู้จากที่อื่นมาใช้เงินกู้สองล้านล้าน ซ้ำรอยกับที่รัฐบาลทักษิณเคยทำ” นายชวนนท์ กล่าว

นายชวนนท์ กล่าวด้วยว่า กรณีที่ นายพร้อมพงษ์ กล่าวหาว่ามีการทุจริตในโครงการไทยเข้มแข็งของกระทรวงสาธารณสุข และชุมชนพอเพียงนั้น ตนเห็นว่านายพร้อมพงษ์ ไร้วุฒิภาวะในการพิจารณาข้อมูล หรือไม่ก็จงใจที่จะบิดเบือนข้อมูลเพื่อให้สังคมเข้าใจผิด เพราะการที่ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ลาออกจากการเป็นประธานโครงการชุมชนพอเพียง และนายวิทยา แก้วภราดัย ลาออกจาก รมว.สาธารณสุข นั้น เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าหัวหน้ารัฐบาลคือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ยึดหลักธรรมาภิบาลให้ความสำคัญกับการปราบปรามการทุจริต ทั้งๆ ที่สองกรณีข้างต้นไม่มีหลักฐานที่ยืนยันว่า นายกอร์ปศักดิ์ กับ นายวิทยา ทุจริตแต่อย่างใด แต่ที่ลาออกเพราะเป็นไปตามกฎ 9 ข้อ ที่นายอภิสิทธิ์ ตั้งไว้ในข้อ 9 คือ ความรับผิดชอบทางการเมืองอยู่เหนือความรับผิดชอบทางกฎหมาย ซึ่งเรื่องเหล่านี้พรรคเพื่อไทยคงไม่มีทางเข้าใจ เพราะสะกดคำว่า “รับผิดชอบทางการเมือง” ไม่เป็น จึงปล่อยให้มีการโกงทั้งแผ่นดิน เพราะหัวหน้ารัฐบาลบริหารแบบขาดธรรมาภิบาล

ขณะที่ นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ส่งเอกสารข่าวอิเล็กทรอนิกส์ถึงสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล ระบุถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ออกมาแถลงโครงการอนาคตไทยเข้มแข็ง 2020 โดยระบุว่าจะนำเงิน 2 ล้านล้านบาท ในระยะเวลา 7 ปี มาจากระบบงบประมาณ มีความโปร่งใสกว่า ตรวจสอบได้ ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ และยืนยันว่า ในระบบงบประมาณมีเพียงพอเหลือเฟือที่จะรองรับแผนการลงทุน เพื่อจัดสรรให้ 4 เรื่อง คือ โครงสร้างพื้นฐานทางด้านคมนาคม 1.2 ล้านล้านบาท การศึกษา การพัฒนา และการวิจัย 4 แสนล้านบาท การสาธารณสุข 2 แสนล้านบาท และระบบชลประทานเพื่อการเกษตร 2 แสนล้านบาทนั้น

การที่รัฐบาลกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการตาม พ.ร.บ.โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ มีกระบวนการใช้เงินในโครงการต่างๆ ที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพราะแต่ละโครงการก่อนที่จะมีการดำเนินการ ต้องผ่านเกณฑ์ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง กลั่นกรองโดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และส่งเข้าพิจารณาในคณะรัฐมนตรีก่อนที่จะอนุมัติโครงการภายใต้การกำหนดราคากลางที่เป็นธรรมตามกฎหมายของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.รวมถึงร่วมกับภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชันให้มีส่วนเข้ามาช่วยตรวจสอบด้วย ขอย้ำอีกครั้งว่า เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทไม่ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 เพราะว่าเงินกู้มิใช่เป็นเงินแผ่นดินตามมาตราดังกล่าว เป็นเงินที่มิได้ส่งบัญชีคลัง แต่เป็นเงินกู้จากแหล่งเงินอื่น และต้องใช้จ่ายได้เฉพาะตามวัตถุประสงค์ของการกู้เงินเท่านั้น

ส่วนวงเงินงบประมาณในแต่ละปี มีกรอบวงเงินซึ่งจะมีที่มาจากการประชุมหารือร่วมกันของหน่วยงานด้านเศรษฐกิจสำคัญ 4 หน่วยงานหลัก ได้แก่ กระทรวงการคลัง สภาพัฒน์ สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้วงเงินงบประมาณในแต่ละปี จะเพิ่มขึ้นหรือลดลง ก็จะเป็นไปตามประมาณการรายได้ สภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และฐานะทางการคลังของรัฐบาล การกล่าวว่าเงินในระบบงบประมาณมีเพียงพอเหลือเฟือนั้น จึงไม่ตรงตามข้อเท็จจริง เพราะหากรัฐบาลผูกพันงบประมาณในอีก 7 ปีข้างหน้า และเกิดการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจในเชิงลบ ก็จะกระทบต่อการพัฒนาในด้านอื่นๆ โดยเฉพาะการพัฒนาด้านสังคม การศึกษา สาธารณสุข และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในภาพรวม ที่สำคัญงบประมาณส่วนใหญ่ต้องถูกจัดสรรรเพื่อเป็นเงินเดือนและค่าใช้จ่ายประจำของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ส่งผลให้การลงทุนภาครัฐไม่สามารถดำเนินการตามยุทธศาสตร์ที่ได้วางไว้อย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น การที่รัฐบาลได้แยกโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานออกมาจากระบบงบประมาณปกติ จึงเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนทั้งประเทศว่า ประเทศไทยจะพัฒนาระบบการคมนาคมขนส่ง ควบคู่ไปกับการพัฒนาด้านสังคม การศึกษา สาธารณสุข ได้พร้อมๆ กัน เพียงแต่จะขอเน้นการพัฒนาด้านคมนาคมขนส่งและลดต้นทุนโลจิสติกส์ก่อน เนื่องจากหากมีระบบการขนส่งที่สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น ก็จะสามารถนำผู้ป่วยเข้ามารักษาในโรงพยาบาลที่มีบุคลากรและเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัยกว่าได้มากขึ้น ขณะเดียวกันในระยะต่อไป รัฐบาลก็จะได้ลงทุนดูแลสุขภาพของประชาชนไทย เพื่อป้องกันโรคและลดอัตราการเจ็บป่วยให้ประชาชนอยู่ดีกินดียิ่งขึ้นต่อไป

นายสุรนันทน์ กล่าวต่อว่า งบประมาณด้านโครงสร้างพื้นฐานทางด้านคมนาคม 1.2 ล้านล้านบาท และงบประมาณด้านการศึกษา การพัฒนา และการวิจัย 4 แสนล้านบาท ถ้าดูจากแนวโน้มการจัดสรรงบประมาณย้อนหลัง 7 ปี จะพบว่า รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณให้กับด้านการศึกษา และด้านสาธารณสุข เฉลี่ยประมาณ 27% ของงบประมาณทั้งสิ้นในแต่ละปี ซึ่งถ้าประมาณการงบประมาณในอนาคตอีก 7 ปีข้างหน้า คาดว่าจะใช้งบประมาณด้านการศึกษาในปีงบประมาณ 2564 ถึง 686,000 ล้านบาท และงบประมาณด้านสาธารณสุขอีก 310,000 ล้านบาท รวมเป็นจำนวนเงินกว่า 1 ล้านล้านบาท เปรียบเทียบกับปี 2557 ที่ใช้ประมาณ 7 แสนล้านบาท และหากเกิดความผันผวนทางเศรษฐกิจขึ้น นอกจากจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่อยู่ในระบบงบประมาณปกติแล้ว ก็จะกระทบต่อการลงทุนด้านการศึกษาและสาธารณสุขด้วย แต่ถ้าหากเราดึงงบประมาณเพื่อการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง และโลจิสติกส์ออกจากงบประมาณปกติ ตามแนวทางที่รัฐบาลดำเนินการ ในระยะ 7 ปีของการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานตาม พ.ร.บ.เงินกู้ ก็จะทำให้มีกรอบวงเงินเพิ่มเติมซึ่งอาจสูงถึง 2 ล้านล้านบาท สำหรับการพัฒนาด้านสังคมในเวลาเดียวกัน

“ขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า สมมติว่ารัฐบาลนำวงเงินงบประมาณที่เกิดขึ้นเพิ่มเติมจากการออก พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท มาใช้สำหรับการศึกษาและสาธารณสุขในสัดส่วนเท่าๆ กัน รัฐบาลก็จะสามารถลงทุนด้านการศึกษา การพัฒนา และการวิจัยได้ถึง 1 ล้านล้านบาท และใช้ในด้านสาธารณสุขได้อีก 1 ล้านล้านบาท ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีวงเงินลงทุนเพื่อพัฒนาด้านการศึกษาและสาธารณสุขได้มากกว่าที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอเสียอีก” นายสุรนันทน์ กล่าว

เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ด้วยแนวทางนี้ จะทำให้ประเทศเกิดการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง สนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พร้อมกับการสร้างความสมดุลให้กับการยกระดับคุณภาพชีวิต เด็กไทยจะได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียม มีการยกระดับคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาไทยให้สูงขึ้น ประชาชนจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีหลักประกันในการดำรงชีวิตที่ดีขึ้น สามารถเข้าถึงบริการทางด้านสาธารณสุขที่มีคุณภาพมากขึ้น ได้อย่างรวดเร็วขึ้น ซึ่งรัฐบาลอยากเห็นประเทศนี้มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี เศรษฐกิจที่ดี ควบคู่กับการได้เห็นคนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสังคมที่ดี มีความมั่นคง และมีความสุขยิ่งขึ้น


กำลังโหลดความคิดเห็น