xs
xsm
sm
md
lg

ตุลาการผู้แถลงคดีศาลปกครองสูงสุด จ่อพิพากษายืน “ถวิล” คืนตำแหน่งเลขาฯ สมช.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รัฐบาลมีหนาว ตุลาการผู้แถลงคดีเสนอศาลปกครองสูงสุดสั่งยืนตามศาล ปค.กลางคืนตำแหน่งเลขาฯ สมช.ให้ ถวิล เปลี่ยนศรี มองแม้ขั้นตอนโอนย้ายถูกต้อง แต่การใช้ดุลพินิจ นายกฯไม่ชอบ ด้าน “ถวิล” ยังมั่นใจได้ตำแหน่งคืนก่อนเกษียณ แต่ยังลังเลฟ้อง ป.ป.ช.เล่นงาน ม.157 นายกฯ-ครม.พร้อมวอนรัฐพิจารณาตั้งคนใน สมช.นั่ง 2 ตำแหน่งรองเลขาฯ สร้างขวัญกำลังใจ ขรก.สมช.

วันนี้ (24 ก.ย.) ศาลปกครองสูงสุดออกนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกในกรณีที่นายกรัฐมนตรี ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองกลางที่สั่งเพิกถอนคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 152/2554 วันที่ 7 ก.ย. 2554 ที่ให้ นายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ไปปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรีในตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ โดยการพิจารณาคดีครั้งแรกนี้ นายถวิล ผู้ฟ้องคดีนี้ได้เดินทางมาด้วยตนเอง แต่ไม่ประสงค์ที่จะแถลงปิดคดี ขณะที่ฝ่ายผู้ถูกฟ้องคือนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ นายนนทิกร กาญจนะจิตรา เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน หรือ ก.พ.เป็นผู้รับมอบอำนาจ แถลงปิดคดีด้วยวาจา

โดย นายนนทิกร แถลงยืนยันว่าขั้นตอนการโอนย้ายนายถวิลจากเลขาฯ สมช.มาเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่ ก.พ.กำหนดไว้ โดยมีการยินยอมของ 2 รัฐมนตรีเจ้าสังกัดที่กำกับดูแลหน่วยงานที่จะให้มีการโอนย้ายกัน ส่วนที่นายถวิลโต้แย้งว่า การโอนย้ายไม่สมเหตุสมผล และเพราะตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีนั้น มีบทบาทดูแลงานด้านความมั่นคงน้อยกว่าตำแหน่งเลขาฯ สมช.นั้น ยืนยันว่าแต่ละตำแหน่งหน้าที่นั้นมีความสำคัญไม่แตกต่างกัน

ซึ่งตามระเบียบ ก.พ.ได้มีการแบ่งประเภทของงานไว้แตกต่างกัน โดยตำแหน่งบริหารไม่อาจเทียบเคียงได้ว่าตำแหน่งใดสำคัญกว่ากันโดยสาระ แต่อาจเทียบเคียงได้จากเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง ซึ่งสิทธิประโยชน์ที่นายถวิลได้รับในตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ก็เท่ากับที่ได้รับในตำแหน่งเลขาฯ สมช.รวมทั้งตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ ก.พ.ไม่ได้เพิ่งกำหนดขึ้น แต่มีมานานแล้ว เพื่อให้ฝ่ายบริหารสามารถใช้อำนาจสับเปลี่ยนหมุนเวียนผู้ที่ฝ่ายบริหารเห็นว่ามีความเหมาะสมมาดำรงตำแหน่งได้ การใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีในเรื่องนี้จึงเป็นไปอย่างถูกต้อง และไม่ได้ก่อให้เกิดผลกระทบในด้านความมั่นคงแต่อย่างใด

จากนั้นองค์คณะได้ให้ตุลาการผู้แถลงคดีแถลงความเห็นส่วนตัวต่อคดีที่ไม่มีผลผูกพันต่อการพิจารณาวินิจฉัยขององค์คณะ โดยเห็นว่า ตามระเบียบ ก.พ.ไมได้กำหนดวิธีการปฏิบัติในการโอนย้ายไว้ชัดเจน ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงพบว่ามีการการยินยอมของ 2 รัฐมนตรีเจ้าสังกัดที่กำกับดูแลหน่วยงานที่จะให้มีการโอนย้ายกัน แม้จะมีลักษณะเร่งรีบ แต่ก็เชื่อว่ามีการประสานงานกันก่อนแล้ว จึงไม่ทำให้ขั้นตอนการโอนย้ายเสียไป อีกทั้งมีการเสนอให้ ครม.เห็นชอบในเวลาต่อมา และมีการความขึ้นกราบบังคมทูลฯ ดังนั้นคำอุทธรณ์ของนายกรัฐมนตรีรับฟังขึ้น

ส่วนที่นายถวิลอ้างว่าการใช้ดุลพินิจของนายกรัฐมนตรีในการแต่งตั้ง โดยย้ายไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีเจตนาแอบแฝงและหากศาลเข้าไปวินิจฉัยก็จะเป็นการก้าวล่วงฝ่ายบริหารนั้น เห็นว่าตำแหน่งเลขาฯ สมช.เป็นตำแหน่งนักบริหารระดับสูง เทียบเท่าหัวหน้าระดับกรม มีอำนาจหน้าที่และศักดิ์ศรีมากกว่าตำแหน่งที่ปรึกษา หากจะมีการโยกย้ายก็ต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตที่กฎหมายกำหนด และเป็นไปตามหลักคุณธรรม ของมาตรา 42 พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งกรณีดังกล่าวปรากฏหลักฐานว่า นายกรัฐมนตรีอ้างเหตุในการย้ายนายถวิลว่า ไม่ปฏิบัติตามนโยบายด้านความมั่นคงที่รัฐบาลได้แถลงไว้ อีกทั้งตำแหน่ง สมช.เป็นตำแหน่งระดับปฏิบัติ ซึ่งนายถวิลมีความเหมาะสม เชี่ยวชาญด้านการวางแผนในลักษณะเสนาธิการมากกว่า จึงเห็นควรให้มาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี

ตุลาการผู้แถลงคดีเห็นว่า ตำแหน่งเลขาฯ สมช.เป็นตำแหน่งที่มีบทบาทอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบที่มากกว่าที่ปรึกษานายกฯ อีกทั้งตาม พ.ร.บ.สภาความมั่นคงแห่งชาติ เลขาฯ สมช.เป็นสมาชิกของสภาความมั่นคง เช่นเดียวกับนายกฯ และรองนายกฯที่กำกับดูแล ดังนั้นที่อ้างว่าการโอนย้ายนายถวิลเพื่อยกระดับการปฏิบัติงานภาคสนามมาเป็นด้านเสนาธิการ จึงไม่อาจรับฟังได้ และที่อ้างว่าการพิจารณาของศาลเป็นการก้าวล่วงอำนาจฝ่ายบริหารนั้น เห็นผู้บังคับบัญชาสามารถใช้ดุลพินิจแต่งตั้งโยกย้ายผู้ใต้บังคับบัญชาได้ตามความเหมาะสมแต่ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ หากให้ศาลมีอำนาจตรวจสอบแค่ขั้นตอน โดยไม่อาจตรวจสอบเจตนาการใช้ดุลพินิจว่าชอบหรือไม่ ก็อาจเป็นการใช้อำนาจตามอำเภอใจ ซึ่งกรณีนี้มีการนำเสนอข่าว การยอมรับของรองนายกฯ ที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิศรี ผบ.ตร.ในขณะนั้น ว่ายินดีที่จะถูกย้ายจากตำแหน่ง ผบ.ตร.หากมีตำแหน่งที่เหมาะสมกว่า อีกทั้งยังกล่าวด้วยว่า นายถวิล ซึ่งเคยเป็นเลขาธิการ ศอฉ. รัฐบาลนี้จึงไม่อยากให้อยู่ในตำแหน่ง

แม้คำสัมภาษณ์ดังกล่าวของรองนายกฯที่ปรากฏทางสื่อจะไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานในการวินิจฉัยได้ แต่ในข้อเท็จจริงปรากฏว่า เหตุการณ์หลังจากนั้น เป็นไปตามคำพูดของรองนายกฯ ประกอบกับการย้ายตำแหน่งนายถวิล ไปดำรงตำแหน่งอื่น ก็ควรเป็นตำแหน่งที่เป็นหัวหน้าส่วนราชการ ที่ไม่ด้อยไปกว่าตำแหน่งเลขาฯ สมช.และควรได้รับการยินยอมจากนายถวิล เช่นเดียวกับที่ย้าย พล.ต.อ.วิเชียร พ้นจากตำแหน่ง ผบ.ตร.รวมถึงการย้ายนายถวิล ก็ไม่ได้เกิดจากการดำรงตำแหน่งครบวาระ 4 ปี จึงเห็นว่าการย้ายนายถวิล ไม่ได้มีเจตนาที่แท้จริงตามที่อ้างว่าย้ายเพื่อยกระดับการบริหารงานด้านความมั่นคง ซึ่งการใช้ดุลพินิจของนายกฯไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเห็นควรเสนอต่อศาลปกครองสูงสุดให้มีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองกลางที่เพิกถอนคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายและให้คืนตำแหน่งเลขาฯ สมช.แก่นายถวิล นับแต่วันที่มีคำสั่งย้าย โดยหลังการพิจารณาคดีครั้งแรกเสร็จสิ้น องค์คณะไม่ได้แจ้งให้คู่กรณีได้ทราบว่าจะมีคำสั่งในคดีนี้เมื่อใด

ด้าน นายถวิล กล่าวภายหลังที่เข้ารับฟังการพิจารณาคดีครั้งแรก ว่า ตนรู้สึกพอใจกับการพิจารณาคดีดังกล่าว และมั่นใจว่าสิ่งที่ตนถูกกระทำนั้นไม่เป็นธรรม มีวาระแอบแฝง ซึ่งตนจะเกษียณอายุราชการในปี 2557 ก็หวังว่าศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่งออกมาก่อนวันที่ 30 ก.ย. 57 หากเป็นคำสั่งที่ออกมาเป็นคุณแก่ตนเองนั้น ก็จะพิจารณาการเยียวยาของรัฐว่าเป็นไปในลักษณะที่เหมาะสมหรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีผู้เสนอว่า ตนควรไปฟ้องร้องต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้เอาผิดนายกฯและคณะรัฐมนตรี ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบได้ เพื่อเป็นบรรทัดฐานให้กับผู้ที่ถูกโยกย้ายไม่เป็นธรรม แต่ตนเป็นข้าราชการมา 30 ปี ไม่อยากเห็นนายกฯ และคณะรัฐมนตรี ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่เพราะสาเหตุมาจากตน แต่หากคำพิพากษาไม่เป็นคุณก็จะทำหน้าที่ที่ปรึกษานายกฯให้ดีที่สุดจนกว่าจะเกษียณ

นายถวิล ยังกล่าวอีกว่า การกลับเข้าไปดำรงแหน่งเลขาฯ สมช.หรือไม่ สำคัญน้อยกว่าการรักษาองค์กร สมช.ไว้ โดยในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา องค์กร สมช.ได้มีความผิดเพี้ยนไปมาก เนื่องจากถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง ซึ่งมีการย้ายทหารและตำรวจเข้ามาดำรงตำแหน่งต่างๆ ซึ่งในวันที่ 30 ก.ย.นี้ จะมีตำแหน่งรองเลขาธิการ สมช.ว่างลง 2 ตำแหน่ง จึงอยากฝากถึงรัฐบาลและผู้มีอำนาจ ว่า คนใน สมช.มีความพร้อมในด้านวัยวุฒิและคุณวุฒิ จึงไม่อยากให้มีการพิจารณาเอาบุคคลภายนอกมาดำรงตำแหน่งให้ซ้ำรอยตนเอง เพราะจะทำให้กระทบต่อขวัญกำลังใจข้าราชการ สมช.








กำลังโหลดความคิดเห็น