xs
xsm
sm
md
lg

ศาล ปค.สูงสุดสั่งรับคำฟ้องอดีต ผบช.น.โวย สตช.ไม่คืนสิทธิ์ หลัง ก.ตร.หักมติ ป.ป.ช.ถล่ม 7 ตุลา ไม่ผิด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เหตุการณ์ตำรวจสลายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่หน้ารัฐสภา 7 ตุลา 2551
ศาลปกครองสูงสุดสั่งศาลปกครองกลางรับคำฟ้อง “สุชาติ เหมือนแก้ว" ฟ้อง สตช.-ผบ.ตร. ไม่สั่งกรมบัญชีกลางคืนสิทธิ์ เงินเดือน หลัง ก.ตร.มีมติ สั่งสลายพันธมิตรฯ เหตุ 7 ตุลา ไม่ผิดวินัยตามที่ ป.ป.ช.ชี้มูลว่าผิด พร้อมยกโทษและเชิญกลับรับราชการ ระบุฟ้องอยู่ในกำหนดเวลา แต่ไม่รับคดีขอคืนกลับเป็นตำรวจ

วันนี้ (18 ก.ย.) ที่ศาลปกครองสูงสุด ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งกลับคำสั่งศาลปกครองกลาง โดยสั่งให้ศาลปกครองกลางรับคำฟ้องของ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ที่ฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กรณีไม่ยอมสั่งการให้กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง คืนสิทธิประโยชน์ที่พึงได้รับตามกฎหมายให้แก่ พล.ต.ท.สุชาติ รวมถึงเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และสิทธิประโยชน์อื่นที่พล.ต.ท.สุชาติพึงได้รับตามกฎหมายนับตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย. 52 - 31 ต.ค. 54 ที่ พล.ต.ท.สุชาติ เกษียณอายุราชการ หลังจากคณะกรรมการข้าราชการตำรวจแห่งชาติ (ก.ตร.) มีมติว่าการที่ พล.ต.ท.สุชาติ ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่ง ผบช.น สั่งสลายการชุมนุมหน้ารัฐสภาของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 51 ไม่ถือเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. มีมติชี้มูล และมีคำสั่งให้ยกโทษให้แก่ พล.ต.ท.สุชาติ และให้ สตช.รับ พล.ต.ท.สุชาติกลับเข้ารับราชการ

โดยศาลปกครองสูดสุดเห็นว่า การฟ้องในประเด็นดังกล่าวเป็นการฟ้องว่า สตช.ทำละเมิด ซึ่งตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2542 มาตรา 51 กำหนดให้ต้องยื่นฟ้องภายใน 1 ปีนับแต่วันที่รู้หรือควรรู้เหตุแห่งการฟ้องคดี แต่ไม่เกินสิบปีนับแต่วันที่มีเหตุแห่งการฟ้องคดี เมื่อข้อเท็จจริงในคดีรับฟังได้ว่า หลัง ก.ตร.มีมติเมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 52 ยกโทษให้กับ พล.ต.ท.สุชาติ และสั่งให้ สตช.รับ พล.ต.ท.สุชาติกลับเข้ารับราชการ และพล.ต.ท.สุชาติจะเกษียณอายุราชการเนื่องจากอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ในวันที่ 30 ก.ย. 54 ทางกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางซึ่งเป็นต้นสังกัดที่จ่ายเงินบำนาญให้แก่ พล.ต.ท.สุชาติ มีหนังสือลงวันที่ 9 ก.พ. 55 แจ้งต่อ พล.ต.อ.สุชาติ ว่ากรณีผลการดำเนินการทางวินัยยังไม่สิ้นสุด หากพล.ต.ท.สุชาติ ประสงค์ขอรับเงินบำนาญไปก่อน จะต้องแจ้งให้ส่วนราชการผู้เบิกทำคำขอเบิกตามแบบฟอร์ม ส่งกรมบัญชีกลาง เพื่อประกอบการเบิกจ่ายเงินบำนาญต่อไป ซึ่งในวันดังกล่าวพล.ต.ท.สุชาติ ได้มีหนังสือถึงผบ.ตร.ขอให้ปฏิบัติตามมติของ ก.ตร. พร้อมตรวจสอบสิทธิประโยชน์และดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย จึงถือได้ว่า พล.ต.ท.สุชาติ รู้หรือควรรู้เหตุแห่งการฟ้องคดีในวันดังกล่าว ดังนั้น การที่ พล.ต.ท.สุชาตินำคดีนี้มาฟ้องในวันที่ 25 พ.ค. จึงเป็นการฟ้องในกำหนดระยะเวลา 1 ปี นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ตามที่กฎหมายกำหนด ศาลปกครองสูงสุดจึงเห็นว่าการฟ้องดังกล่าวอยู่ในกำหนดเวลา จึงมีคำสั่งให้รับคำฟ้องดังกล่าวไว้พิจารณา

ส่วนที่ พล.ต.ท.สุชาติ ฟ้องขอให้ศาลปกครองสั่งให้ผู้ถูกฟ้องทั้ง 2 ดำเนินการให้ตนเองได้กลับเข้ารับราชการ ตามมติ ก.ตร. ครั้งที่ 17/2552 ลงวันที่ 30 ธ.ค. 52 ที่เห็นว่าตนเองไม่มีความผิดวินัยร้ายแรง และมีคำสั่งยกโทษให้ รวมทั้งให้ศาลปกครองสั่งเพิกถอนมติ ก.ตร.ที่ 542/2552 ลงวันที่ 30 ต.ค. 52 ที่สั่งลงโทษปลด พล.ต.ท.สุชาติออกจากราชการนั้น ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่ากรณีดังกล่าวเป็นการฟ้องว่าผู้ถูกฟ้องคดีละเลยต่อหน้าที่ตามกฎหมายที่กำหนดให้ต้องปฏิบัติซึ่งตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจาณณาคดีปกครองมาตรา 49 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ต้องยื่นฟ้องคดีภายใน 90 วันนับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี หรือนับแต่วันที่พ้นกำหนด 90 วัน นับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีมีหนังสือร้องขอต่อหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดและไม่ได้รับหนังสือชี้แจงจากหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งเมื่อข้อเท็จจริงในคดีรับฟังได้เช่นเดียวกับในประเด็นแรก กำหนดระยะเวลา 90 วันนับแต่วันที่ 5 พ.ย. 53 ที่ พล.ต.ท.สุชาติมีหนังสือถึง ผบ.ตร.ขอให้ปฏิบัติตามมติ ก.ตร. แล้วไม่ได้รับการชี้แจง ก็คือวันที่ 2 ก.พ. 54 แต่เมื่อ พ.ต.ท.สุชาตินำประเด็นนี้มาฟ้องต่อศาลปกครองในวันที่ 25 พ.ค. 55 จึงเป็นการฟ้องเกินกำหนดระยะเวลาที่ศาลปกครองจะรับไว้พิจารณาได้ ศาลปกครองสูงสุดจึงมีความเห็นยืนตามศาลปกครองกลางสั่งไม่รับคำฟ้องในประเด็นดังกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น