ASTVผู้จัดการรายวัน-ศาลปกครองสูงสุดสั่งศาลปกครองกลางรับคำฟ้อง "พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว" อดีต ผบช.น คนสั่งสลายการชุมนุมของพันธมิตรปี 51 ที่ขอให้คืนสิทธิประโยชน์ต่างๆ หลังมีมติ ก.ตร. อุ้ม ไม่ผิดวินัยร้ายแรงและยกโทษให้ แต่ไม่รับคำฟ้องที่ขอให้รับตัวเองกลับเข้ารับราชการ เหตุยื่นฟ้องหลังวันที่กฎหมายให้โอกาสไว้
วานนี้ (18 ก.ย.) ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งกลับคำสั่งศาลปกครองกลาง โดยสั่งให้ศาลปกครองกลางรับคำฟ้องของพล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ที่ฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กรณีไม่ยอมสั่งการให้กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลังคืนสิทธิประโยชน์ที่พึงได้รับตามกฎหมายให้แก่ พล.ต.ท.สุชาติ รวมถึงเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และสิทธิประโยชน์อื่นที่ พล.ต.ท.สุชาติพึงได้รับตามกฎหมาย นับตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย.52-31 ต.ค.54 ที่พล.ต.ท.สุชาติ เกษียณอายุราชการ หลังจากคณะกรรมการข้าราชการตำรวจแห่งชาติ (กตร.) มีมติว่าการที่พล.ต.ท.สุชาติ ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่ง ผบช.น สั่งสลายการชุมนุมหน้ารัฐสภาของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 7 ต.ค.51ไม่ถือเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูล และมีคำสั่งให้ยกโทษให้แก่ พล.ต.ท.สุชาติ และให้สตช. รับพล.ต.ท.สุชาติกลับเข้ารับราชการ
โดยศาลปกครองสูดสุด เห็นว่า การฟ้องในประเด็นดังกล่าว เป็นการฟ้องว่า สตช. ทำละเมิด ซึ่งตามพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2542 มาตรา51กำหนดให้ต้องยื่นฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้เหตุแห่งการฟ้องคดี แต่ไม่เกินสิบปีนับแต่วันที่มีเหตุแห่งการฟ้องคดี
เมื่อข้อเท็จจริงในคดีรับฟังได้ว่า หลัง ก.ตร. มีมติเมื่อวันที่ 30 ธ.ค.52 ยกโทษให้กับพล.ต.ท.สุชาติ และสั่งให้สตช.รับพล.ต.ท.สุชาติ กลับเข้ารับราชการ และพล.ต.ท.สุชาติจะเกษียณอายุราชการ เนื่องจากอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ในวันที่ 30 ก.ย.54 ทางกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางซึ่งเป็นต้นสังกัด ที่จ่ายเงินบำนาญให้กับพล.ต.ท.สุชาติ มีหนังสือลงวันที่ 9 ก.พ.55 แจ้งต่อพล.ต.อ.สุชาติ ว่า กรณีผลการดำเนินการทางวินัยยังไม่สิ้นสุด หากพล.ต.ท.สุชาติ ประสงค์ขอรับเงินบำนาญไปก่อน จะต้องแจ้งให้ส่วนราชการผู้เบิกทำคำขอเบิกตามแบบฟอร์ม ส่งกรมบัญชีกลาง เพื่อประกอบการเบิกจ่ายเงินบำนาญต่อไป
ในวันดังกล่าว พล.ต.ท.สุชาติ ได้มีหนังสือถึง ผบ.ตร. ขอให้ปฏิบัติตามมติของก.ตร. พร้อมตรวจสอบสิทธิประโยชน์และดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย จึงถือได้ว่าพล.ต.ท.สุชาติ รู้หรือควรรู้เหตุแห่งการฟ้องคดีในวันดังกล่าว ดังนั้น การที่พล.ต.ท.สุชาติ นำคดีนี้มาฟ้องในวันที่ 25 พ.ค. จึงเป็นการฟ้องในกำหนดระยะเวลา 1 ปี นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ตามที่กฎหมายกำหนด ศาลปกครองสูงสุดจึงเห็นว่าการฟ้องดังกล่าวอยู่ในกำหนดเวลา จึงมีคำสั่งให้รับคำฟ้องดังกล่าวไว้พิจารณา
ส่วนที่พล.ต.ท.สุชาติ ฟ้องขอให้ศาลปกครองสั่งให้ผู้ถูกฟ้องทั้ง 2 ดำเนินการให้ตนเองได้กลับเข้ารับราชการ ตามมติ ก.ตร. ครั้งที่ 17/2552 ลงวันที่ 30 ธ.ค.52 ที่เห็นว่าตนเองไม่มีความผิดวินัยร้ายแรง และมีคำสั่งยกโทษให้ รวมทั้งให้ศาลปกครองสั่งเพิกถอนมติ กตร.ที่ 542/2552 ลงวันที่ 30 ต.ค.52ที่สั่งลงโทษปลด พล.ต.ท.สุชาติออกจากราชการนั้น ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่ากรณีดังกล่าวเป็นการฟ้องว่าผู้ถูกฟ้องคดีละเลยต่อหน้าที่ตามกฎหมายที่กำหนดให้ต้องปฏิบัติ ซึ่งตามพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจาณาคดีปกครองมาตรา 49 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ต้องยื่นฟ้องคดีภายใน 90 วัน นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี หรือนับแต่วันที่พ้นกำหนด90 วัน นับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีมีหนังสือร้องขอต่อหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดและไม่ได้รับหนังสือชี้แจงจากหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ
เมื่อข้อเท็จจริงในคดีรับฟังได้เช่นเดียวกับในประเด็นแรก กำหนดระยะเวลา 90 วัน นับแต่วันที่ 5 พ.ย.53ที่พล.ต.ท.สุชาติมีหนังสือถึง ผบ.ตร. ขอให้ปฏิบัติตามมติ ก.ตร. แล้ว ไม่ได้รับการชี้แจง ก็คือ วันที่ 2 ก.พ.54 แต่เมื่อ พ.ต.ท.สุชาตินำประเด็นนี้มาฟ้องต่อศาลปกครองในวันที่ 25 พ.ค.55 จึงเป็นการฟ้องเกินกำหนดระยะเวลาที่ศาลปกครองจะรับไว้พิจารณาได้ ศาลปกครองสูงสุดจึงมีความเห็นยืนตามศาลปกครองกลางสั่งไม่รับคำฟ้องในประเด็นดังกล่าว
วานนี้ (18 ก.ย.) ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งกลับคำสั่งศาลปกครองกลาง โดยสั่งให้ศาลปกครองกลางรับคำฟ้องของพล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ที่ฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กรณีไม่ยอมสั่งการให้กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลังคืนสิทธิประโยชน์ที่พึงได้รับตามกฎหมายให้แก่ พล.ต.ท.สุชาติ รวมถึงเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และสิทธิประโยชน์อื่นที่ พล.ต.ท.สุชาติพึงได้รับตามกฎหมาย นับตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย.52-31 ต.ค.54 ที่พล.ต.ท.สุชาติ เกษียณอายุราชการ หลังจากคณะกรรมการข้าราชการตำรวจแห่งชาติ (กตร.) มีมติว่าการที่พล.ต.ท.สุชาติ ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่ง ผบช.น สั่งสลายการชุมนุมหน้ารัฐสภาของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 7 ต.ค.51ไม่ถือเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูล และมีคำสั่งให้ยกโทษให้แก่ พล.ต.ท.สุชาติ และให้สตช. รับพล.ต.ท.สุชาติกลับเข้ารับราชการ
โดยศาลปกครองสูดสุด เห็นว่า การฟ้องในประเด็นดังกล่าว เป็นการฟ้องว่า สตช. ทำละเมิด ซึ่งตามพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2542 มาตรา51กำหนดให้ต้องยื่นฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้เหตุแห่งการฟ้องคดี แต่ไม่เกินสิบปีนับแต่วันที่มีเหตุแห่งการฟ้องคดี
เมื่อข้อเท็จจริงในคดีรับฟังได้ว่า หลัง ก.ตร. มีมติเมื่อวันที่ 30 ธ.ค.52 ยกโทษให้กับพล.ต.ท.สุชาติ และสั่งให้สตช.รับพล.ต.ท.สุชาติ กลับเข้ารับราชการ และพล.ต.ท.สุชาติจะเกษียณอายุราชการ เนื่องจากอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ในวันที่ 30 ก.ย.54 ทางกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางซึ่งเป็นต้นสังกัด ที่จ่ายเงินบำนาญให้กับพล.ต.ท.สุชาติ มีหนังสือลงวันที่ 9 ก.พ.55 แจ้งต่อพล.ต.อ.สุชาติ ว่า กรณีผลการดำเนินการทางวินัยยังไม่สิ้นสุด หากพล.ต.ท.สุชาติ ประสงค์ขอรับเงินบำนาญไปก่อน จะต้องแจ้งให้ส่วนราชการผู้เบิกทำคำขอเบิกตามแบบฟอร์ม ส่งกรมบัญชีกลาง เพื่อประกอบการเบิกจ่ายเงินบำนาญต่อไป
ในวันดังกล่าว พล.ต.ท.สุชาติ ได้มีหนังสือถึง ผบ.ตร. ขอให้ปฏิบัติตามมติของก.ตร. พร้อมตรวจสอบสิทธิประโยชน์และดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย จึงถือได้ว่าพล.ต.ท.สุชาติ รู้หรือควรรู้เหตุแห่งการฟ้องคดีในวันดังกล่าว ดังนั้น การที่พล.ต.ท.สุชาติ นำคดีนี้มาฟ้องในวันที่ 25 พ.ค. จึงเป็นการฟ้องในกำหนดระยะเวลา 1 ปี นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ตามที่กฎหมายกำหนด ศาลปกครองสูงสุดจึงเห็นว่าการฟ้องดังกล่าวอยู่ในกำหนดเวลา จึงมีคำสั่งให้รับคำฟ้องดังกล่าวไว้พิจารณา
ส่วนที่พล.ต.ท.สุชาติ ฟ้องขอให้ศาลปกครองสั่งให้ผู้ถูกฟ้องทั้ง 2 ดำเนินการให้ตนเองได้กลับเข้ารับราชการ ตามมติ ก.ตร. ครั้งที่ 17/2552 ลงวันที่ 30 ธ.ค.52 ที่เห็นว่าตนเองไม่มีความผิดวินัยร้ายแรง และมีคำสั่งยกโทษให้ รวมทั้งให้ศาลปกครองสั่งเพิกถอนมติ กตร.ที่ 542/2552 ลงวันที่ 30 ต.ค.52ที่สั่งลงโทษปลด พล.ต.ท.สุชาติออกจากราชการนั้น ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่ากรณีดังกล่าวเป็นการฟ้องว่าผู้ถูกฟ้องคดีละเลยต่อหน้าที่ตามกฎหมายที่กำหนดให้ต้องปฏิบัติ ซึ่งตามพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจาณาคดีปกครองมาตรา 49 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ต้องยื่นฟ้องคดีภายใน 90 วัน นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี หรือนับแต่วันที่พ้นกำหนด90 วัน นับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีมีหนังสือร้องขอต่อหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดและไม่ได้รับหนังสือชี้แจงจากหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ
เมื่อข้อเท็จจริงในคดีรับฟังได้เช่นเดียวกับในประเด็นแรก กำหนดระยะเวลา 90 วัน นับแต่วันที่ 5 พ.ย.53ที่พล.ต.ท.สุชาติมีหนังสือถึง ผบ.ตร. ขอให้ปฏิบัติตามมติ ก.ตร. แล้ว ไม่ได้รับการชี้แจง ก็คือ วันที่ 2 ก.พ.54 แต่เมื่อ พ.ต.ท.สุชาตินำประเด็นนี้มาฟ้องต่อศาลปกครองในวันที่ 25 พ.ค.55 จึงเป็นการฟ้องเกินกำหนดระยะเวลาที่ศาลปกครองจะรับไว้พิจารณาได้ ศาลปกครองสูงสุดจึงมีความเห็นยืนตามศาลปกครองกลางสั่งไม่รับคำฟ้องในประเด็นดังกล่าว