ส.ว.สรรหาสุดทน เสนอแก้รัฐธรรมนูญ เลือกตั้ง ส.ว.ให้สุดซอย 200 เสียง อย่าเหลือ ส.ว.สรรหา 73 เสียงให้เป็นติ่ง เตือนร้องศาล รธน.-ศาลฎีกา-ป.ป.ช.ฟันแน่ “สมเจตน์” แฉ ส.ว.บางคนขอตังค์ กสทช.ละเลงจัดอบรม “หมอวรงค์” ชี้หาก ส.ว.ถูกแทรกแซงทุกอย่างจบ เตือนหมกเม็ดเจอกันแน่ อีกด้านสภาฝักถั่วยกมือ 354 เสียงผ่านมาตรา 10 ก่อนต่อมาตรา 11 ใกล้จะครบแล้ว
วันนี้ (11 ก.ย.) การประชุมร่วมกันของรัฐสภาที่เริ่มขึ้นเวลา 10.00 น. มีนายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานรัฐสภา ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม โดยมีวาระพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 10 ที่กำหนดให้ ส.ว.สรรหายังคงมีสมาชิกภาพและสามารถปฏิบัติหน้าที่ ส.ว.ต่อไปได้ ในวันที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่กำหนดให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง 200 คนใช้บังคับ และหลังจาก ส.ว.สรรหา หมดวาระลง ไม่ต้องดำเนินการสรรหา ส.ว.อีก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสมาชิกทั้ง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และ ส.ว.สรรหาที่ขอเสนอคำแปรญัตติไว้ ต่างลุกขึ้นสลับกันอภิปราย โดย นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา และแกนนำกลุ่ม 40 ส.ว.ลุกขึ้นขอแปรญัตติตัดมาตรา 10 ออกทั้งมาตรา โดยให้เหตุผลว่า เนื้อหาตามมาตรา 10 ขัดกับหลักการและเหตุผลของร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับนี้เอง เพราะตามหลักการของร่างระบุว่า เป็นการสมควรกำหนดให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้งโดยตรง แต่ในมาตรา 10 ยังคงให้ ส.ว.สรรหาปฏิบัติหน้าที่ต่อ แม้รัฐธรรมนูญจะบังคับใช้ให้มีการเลือกตั้ง ส.ว.200 คนแล้วนั้น เท่ากับขัดต่อหลักการของร่างที่กำหนดให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง
“หากกรรมาธิการจะแก้ให้ ส.ว.ต้องมาจากการเลือกตั้งทั้งหมดแล้วก็ต้องแก้ให้สุดซอย อย่าปล่อยให้ ส.ว.สรรหาที่เหลืออยู่ 73 คนกลายเป็นติ่งในวุฒิสภาต่อไป แต่หลังมีการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญที่มา ส.ว.ฉบับนี้เสร็จสิ้น จะร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ให้พิจารณาแน่นอน” นายสมชาย กล่าว
ทั้งนี้ ระหว่างที่นายสมชายอภิปราย จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วงเป็นระยะๆ ว่าอภิปรายวกวนและประเด็นซ้ำซาก จนนายนิคมต้องเตือนให้นายสมชายอภิปรายกระชับในประเด็น
หลังจากนายสมชายอภิปรายเสร็จ นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ เพื่อไทยได้ลุกขึ้นเสนอญัตติการอภิปรายเพื่อลงมติเห็นชอบมาตรา 10 เนื่องจากเห็นว่าการอภิปรายในช่วงเช้าที่ผ่านมา ผู้ที่อภิปรายพยายามยื้อ ซ้ำซาก ไม่เข้าประเด็น ทำให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ลุกขึ้นประท้วงว่าเป็นการข่มขู่คุกคามการทำหน้าที่ของสมาชิกในสภา จนนายนิคมขอร้องให้นายวรชัยถอน เพราะยังมีต่อคิวอภิปรายอยู่ กระทั่งนายวรชัยยอมถอนญัตติดังกล่าว จากนั้นนายนิคมจึงเปิดให้มีการอภิปรายในมาตรา 10 ต่อไป
พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหา อภิปรายตอนหนึ่งว่า ในวุฒิสภามีการไปขอเงินจาก คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่อยู่ภายใต้การกำกับของวุฒิสภา จำนวน 30 ล้านบาท มาจัดการอบรมเครือข่ายต่างๆ ของจังหวัดต่างๆ ขณะนี้ กสทช.อนุมัติแล้ว 10 ล้านบาทดำเนินการอบรม 10 รุ่น ใน 18 จังหวัดภาคอีสาน ภาคเหนือตอนล่าง และภาคกลาง รุ่นละ 3 จังหวัด จังหวัดละ 50 คน 1 รุ่น 150 คน ในจำนวน 8 รุ่นเอามาอบรมที่พัทยา เวลาอบรม 3 วัน 2 คืน อีก 2 รุ่น โดยรุ่นหนึ่งจาก3 จังหวัดภาคตะวันออก และมีรุ่นพิเศษจาก จ.ฉะเชิงเทรา จำนวน 150 คนเอาไปอบรมที่ จ.เชียงใหม่
“โครงการพึ่งมาเริ่มต้นตั้งแต่เดือน พ.ค.ที่ผ่านมาไม่เป็นโครงการเก่า จึงสะท้อนให้เห็นว่าเมื่อวุฒิสภาใช้อำนาจไปเอางบประมาณมาขอรับสนับสนุนจากองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ดูเหมือนกับว่าไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันและการหาเสียงก็ทำอย่างนี้กัน”
ขณะที่นายโสภณ ศรีมาเหล็ก ส.ว.น่าน ได้ลุกขึ้นมาชี้แจงว่า วุฒิสภาได้จัดงานดังกล่าวมาต่อเนื่องมาเป็น 10 ปีแล้ว
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ส.ว.ถูกแทรกแซงจากพรรคการเมืองทำให้รัฐบาลไม่ต้องกลัวอะไร ฝ่ายค้านร้องไปว่าผิดให้ถอดถอน แต่เมื่อรัฐบาลมี ส.ว.อยู่ในมือก็ไม่กลัวว่าจะถูกถอดถอน ที่ผ่านมาเรามีการออกแบบมาเรียบร้อยให้เกิดดุลยภาพแล้ว ถามเพื่อนๆ ส.ว.ว่าคำนึงถึงดุลภาพกันหรือไม่ ถ้า ส.ว.ถูกแทรกแซงถือว่าทุกอย่างจบ ระบอบประชาธิปไตยของประเทศที่เราฝันหวานก็จบ ไม่ใช่อะไรเลือกตั้งทุกอย่างก็จบแล้วเป็นประชาธิปไตย เมื่ออยากจะเกินหน้าตนไม่ว่าเพราะเสียงข้างมากมาจากพวกท่านแต่ความเสียหายที่เกิดขึ้น
“ที่พวกผมท้วงติง รัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่าต้องเกินดุลภาพ ถ้าเป็นการใช้สิทธิ์รัฐธรรมนูญ แต่มาทำลายระบอบประชาธิปไตย พวกตนก็ต้องใช้สิทธิ์ยื่นตีความ การแก้ไขกฎหมายสูงสุดต้องได้รับความเห็นชอบจากทุกฝ่าย แต่ในเมื่อมีการหมดเม็ดแล้วให้ ส.ว.ลงแล้วลงอีก ต้องเจอกันแน่” นพ.วรงค์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากสมาชิกได้ทยอยอภิปรายแสดงความเห็นจากการแปรสงวนคำแปรญัตติของตนเอง จนกระทั่งเวลา 16.00 น.นายพหล วรปัญญา ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย ได้เสนอญัตติขอปิดอภิปราย แต่สมาชิกหลายคนได้แสดงความเห็นคัดค้าน โดยอ้างว่ายังมีสมาชิกสงวนคำแปรญัตติค้างอยู่อีกหลายคน ขณะที่นายสมศักดิ์ ได้เปิดโอกาสให้อภิปรายอีก 2-3 คน และพยายามตีกรอบให้อภิปรายในประเด็น จนในที่สุด ประชุมก็มีมติเสียงส่วนใหญ่ 354 เสียง ต่อ 14 เสียง เห็นชอบในมาตรา 10 ตามที่กรรมาธิการแก้ไข
จากนั้นได้มีการพิจารณามาตรา 11 เกี่ยวกับการให้คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการเสนอ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว.ต่อรัฐสภาภายใน 30 วัน นับแต่วันที่รัฐธรรมนูญที่ใช้บังคับ