xs
xsm
sm
md
lg

ปัญหาอยู่ที่รัฐบาลถังแตก ต้องออกลูกพาลโบ้ยการเมือง-ลอยแพม็อบยาง!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

“ม็อบการเมือง” เป็นการกล่าวหาที่พรั่งพรูออกมาจากพวกรัฐบาล และ ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่เรียงหน้าออกมารุมชี้หน้ากันมากมายผิดสังเกต ตั้งแต่หัวแถวยันท้ายแถวพูดเหมือนกันหมด ราวกันเป็นชุดคำพูดที่ผ่านการท่องจำมาเรียบร้อยแล้ว หลังจากได้เห็นภาพ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ในภาคใต้หลายคนขึ้นเวทีให้การสนับสนุนกลุ่มผู้ชุมนุมชาวสวนยางพาราและสวนปาล์มน้ำมันที่กำลังชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาเรื่องราคาผลผลิตตกต่ำ ที่อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช อยู่ในเวลานี้

แน่นอนว่าเมื่อเห็นภาพบาดตาแบบนั้น มันง่ายที่จะชี้หน้าว่านี่คือ “ม็อบการเมือง” เป็นม็อบจัดตั้งของพวกพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งอาจจะจริงหรือไม่จริง หรือจริงแต่ไม่ทั้งหมด แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น เพราะปัญหาที่แท้จริงหากรัฐบาลไม่โกหกตัวเอง หรือคิดกลบเกลื่อนความล้มเหลวของตัวเองก็ต้องยอมรับว่า สาเหตุที่ชาวบ้านกลุ่มนี้ รวมไปถึงชาวสวนยางในภาคเหนือ และภาคอีสาน รวมทั้งภาคตะวันออกกำลังออกมาเคลื่อนไหว และนัดดีเดย์ชุมนุมใหญ่ในวันที่ 3 กันยายนนี้ มีปัญหามาจากเรื่องราคาตกต่ำ และได้เคยเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือมานานแล้ว มีทั้งยื่นหนังสือ หรือแม้แต่การปิดถนนเพื่อกดดันมาเป็นระยะ

ที่ผ่านมาก็เคยมีอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่คิดว่าเป็นคนใต้ น่าจะเข้าใจเรื่องยางดี ลงไปรับปากคุยโม้เกทับว่าจะประกันราคายางไม่ให้ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 120 บาท พร้อมทั้งอ้างว่าได้ของบประมาณไปแทรกแซงรับซื้อยางและปาล์มเพื่อดึงราคาไปแล้วกว่า 2 หมื่นล้านบาท

จากนั้นถ้ายังจำกันได้ ก็ให้สัมภาษณ์ขึงขังออกข่าวว่าจะเดินสายไปเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน มีเวียดนามบ้าง อินโดนีเซียบ้าง รวมไปถึงไปเจรจากับจีนให้รับซื้อยางเพิ่ม แต่ก็เหลว ล่าสุดกำลังไป “โชว์ห่วย” ในเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ต่อมาก็มีการเปลี่ยนรัฐมนตรีคนใหม่ เป็น ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯดูแลเรื่องยางแทน แต่นั่งเก้าอี้ได้เดือนกว่า ก็ถูกเด้งพ้นเก้าอี้ไปอยู่กินกับเมียที่เพิ่งแต่งงานกันชั่วข้ามคืนหายต๋อมไปเลย

มาวันนี้ กระทรวงเกษตรฯ เปลี่ยนมือมาเป็นของ บรรหาร ศิลปอาชา เจ้าของพรรคชาติไทยพัฒนา ผ่านทาง ยุคล ลิ้มแหลมทอง ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวง แต่ท่าทีก็ไม่ได้เปลี่ยนไป เนื่องจากหากพิจารณาจากฐานเสียงทางการเมืองก็ยังอยู่ที่ภาคกลาง ดังนั้นอย่าได้แปลกใจที่ยังเน้นแต่เรื่อง “จำนำข้าวโดยไม่สนใจกลไกตลาด - รับจำนำราคาสูงกว่าตลาดโลกกว่าสองเท่า” ขาดทุน 3 ฤดูกาล 2-3 แสนล้านบาทก็ต้องเข้าไปอุ้ม เพราะนี่คือฐานเสียงหลัก นั่นคือพรรคชาติไทยพัฒนาหากินอยู่กับ ข้าวในภาคกลาง ขณะที่พรรคเพื่อไทยของ ทักษิณ ชินวัตร รักษาฐานเสียงในภาคเหนือ อีสาน และภาคกลาง แม้ว่ามีชาวสวนยางในภาคเหนือ อีสานกระจายไปทั่วแล้ว แต่สัดส่วนก็ถือว่ายังน้อยกว่า ชาวนา ปลูกข้าว ซึ่งเมื่อมีปัญหาต้องเลือก นั่นคือ “ถังแตก” ก็ต้องเลือกตัดสินใจ “ลอยแพชาวสวนยาง” และโยนให้เป็นม็อบการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ในภาคใต้

หากพิจารณากันตามความเป็นจริง “ทุกม็อบ” มันเป็นม็อบการเมืองทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นม็อบแดงเผาเมือง ม็อบชาวนาที่ประท้วงหลังจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลดราคาจำนำข้าวลงมาเหลือ 12,000 บาท แต่ถามว่าเงื่อนไขการชุมนุมทุกครั้งมันก็เกิดจากความเดือดร้อน ต้องการให้รัฐบาลเข้าไปช่วยเหลือ ไม่เช่นนั้นถ้าอ้างกลไกตลาดแล้วเราจะมีรัฐบาลเอาไว้ทำไม และการที่รัฐบาลสรุปง่ายๆตื้นๆว่าชาวบ้านที่เข้าร่วมชุมนุมที่ อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็น “คนนอกพื้นที่” คำถามก็คือ ทั้งคนนอกและคนในพื้นที่ไม่ใช่ชาวสวนยางที่เดือดร้อนจากรัฐบาลผลงานห่วยๆชุดนี้หรือไม่ ถ้าบอกว่าราคาตกต่ำเพราะตลาดโลก แล้วที่ผ่านมารัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ก็ส่งเสริมให้ปลูกยางให้เกิดขึ้นทั่วประเทศไม่ใช่หรือ จนมีข่าวฉาวโฉ่เรื่องการ “ทุจริตกล้ายาง” กันไม่ใช่หรือ

แต่ผ่านมาไม่ทันไร เมื่อตัวเองเป็นรัฐบาลแล้วบริหารบ้านเมืองล้มเหลว ทำให้ราคาสินค้าการเกษตรตกตกต่ำทุกรายการ ไม่ใช่เฉพาะแต่ยางพารา กับปาล์มน้ำมันเท่านั้น ยังมีข้าวโพด ที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่าราคาตกต่ำ เพราะไม่มีพ่อค้ารับซื้อ ก็กำลังจะก่อม็อบผสมโรงเหมือนกัน นี่ก็อาจถูกกล่าวหาว่าเป็น “ม็อบการเมือง” อีกก็ได้ ขณะที่ค่าครองชีพแพงลิบลิ่ว อีกไม่กี่วันข้างหน้า วันที่ 1 กันยายน ค่าก๊าซหุงต้มก็จะขึ้นราคาอีกกิโลกรัม 50 สตางค์ (ย้ำว่ากิโลกรัมละ 50 สตางค์ ไม่ใช่ถังละ 50 สตางค์) ดังนั้นถ้าแก๊ซถังเล็กที่ใช้ในครัวเรือนน้ำหนัก 15 กิโลกรัม ก็ต้องเพิ่มภาระเพิ่มอีกถังละ 7.50 บาท ขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงสิ้นปี บรรยากาศคงมีความสุขพิลึก

ขณะที่ผลงานทางด้านเศรษฐกิจที่มีการแถลงกันล่าสุดก็ถดถอยทุกด้าน ไม่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นเลย การที่รัฐบาลปลอบใจว่าให้รอดูช่วงปลายปีทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิม กลายเป็นบวก น่าจะเป็นฝันร้ายกว่าเดิม หายนะกว่าเดิม เพราะสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นก็คือกรณีลอยแพชาวสวนยางพารากับปาล์มน้ำมัน สาเหตุสำคัญก็น่าจะเป็นเพราะ “ถังแตก” หมดหน้าตักแล้ว ทำให้ต้องเลือกมวลชนที่จำเป็น ตามลำดับ นั่นคือถึงได้อุ้มเฉพาะชาวนาที่เป็นฐานเสียงหลัก ขณะที่ชาวสวนยางเป็นฐานเสียงรอง มิหนำซ้ำส่วนใหญ่อยู่ในภาคใต้จึงใช้ลูกพาล โบ้ยเป็น “ม็อบการเมือง” หน้าตาเฉย ใช้วิชามารยุแยงให้เกิดความแตกแยก เพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อหวังให้ม็อบอ่อนแรงลง แต่ไม่คิดว่าผลที่จะตามมาในอนาคตจะเสียหายที่ไม่คุ้มค่า และกว่าจะเยียวยาต้องใช้เวลานาน!!
กำลังโหลดความคิดเห็น