สะเก็ดไฟ
จบลงไปตามสคริปต์ที่วางไว้เป๊ะๆ สำหรับการแสดงปาหี่สร้างภาพฉากใหญ่
ไม่กล้าจะถ่ายทอดสดให้ประชาชนคนข้างนอกได้รู้เช่นเห็นชาติ แต่กลับอาศัยลูกชุลมุนผลาญงบประมาณกันเป็นล้านๆ เพราะถึงกับต้องจ้างเอเยนซีหัวใหญ่มาจัดงาน เอาแค่ค่าอาหาร - เครื่องดื่มก็ทำเอา “คนดีล” อิ่มจนพุงกาง ยังมีค่าโปรเจคเตอร์จอยักษ์ที่คอยถ่ายทอดสดผ่านซีซีทีวีให้ผู้สื่อข่าวติดตามที่ตีตัวเลขออกมาก็คงปาเข้าไปหกหลักแล้ว
ส่วนเรื่องเนื้อหาของการประชุมเวทีปฏิรูปหาทางออกประเทศไทยนัดแรกที่มี “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”นายกรัฐมนตรี มานั่งหัวโต๊ะตั้งแต่เช้าจรดเย็น แทบไม่ได้มีเนื้อหนังสาระอะไรที่พอจะเห็นทางแสงสว่างทางรอดของประเทศเลยแม้แต่นิดเดียว
ตรงกันข้ามยิ่งเห็นแต่ “ทางตัน” ที่มืดครึ้มขึ้นทุกขณะ เพราะนอกจากจะไม่ได้สาระอันเป็นประโยชน์อะไรแล้ว สภาพเวทีปฏิรูปหาทางออกประเทศที่คุยโวนักหนา ก็เห็นจะมีแต่ “น้ำลาย” ที่พ่นกันจนจะท่วมทำเนียบรัฐบาล
ไม่ต่างจากการเปิดฟลอร์ให้พวกไดโนเสาร์เต่าล้านปี ชนิดพวกที่ร้างเวทีไปนาน หรือโลกแทบจะลืมไปแล้ว จนระยะหลังสปอร์ตไลต์จากสังคมส่องไม่ถึง ได้มีโอกาสออกมาปล่อยของ โชว์กึ๋นให้ประชาชนได้หลิ่วตาดู หรือชะเง้อคอผุดขึ้นมาจ้อมาพูดกันเองเท่านั้น
ยิ่งหันไปเหลือบมองรายชื่อจำนวน 65 คนที่ตบเท้าเข้ามาร่วมงานใครเห็นเข้าแทบอยากจะร้องยี้อ้วกแตก เพราะส่วนใหญ่เป็นพวกโบราณขึ้นราที่นำกลับมาปัดฝุ่นกันใหม่ แต่ยักไย่คลาบไคล้ก็ยังไม่หมด หรือบางรายก็เป็นนักวิชาการที่ถือหางรัฐบาลจ๋ากันแทบทุกคน ยังไม่นับรวมข้าราชการที่ไปเกณฑ์พลมาให้เก้าที่นั่งมันดูเต็มๆ
เรียกว่า ตั้งแต่เปิดเวทีกันมาตั้งแต่ช่วงเช้าหามกันไปถึงช่วงเย็น ผักบุ้งโหรงเหรงลอยเต็มคลองเต็มทุ่งไปหมด แทบไม่ค้นพบประเด็น แก่นแท้ หรือข้อเสนอแนะใดๆ ที่เป็นประโยชน์ หรือตรงไหนที่มีสาระก็เป็นสาระที่เคยชงเคยร่อนเสนอกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ
ตลกร้ายยิ่งกว่า บรรดาผู้เฒ่าผู้แก่เหล่านี้ยังทำเสียราคาความเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ให้เด็กมันหัวเราะเหยาะ เพราะไม่ว่าไมค์จะไปจ้อที่ปากใคร ไม่รู้มันเป็นอย่างไรต้องเชลียร์ “นายหญิง” กันจนขนหน้าแข้งติดฟันทุกที
ที่ดูจะดีกว่าใครๆ ก็เห็นจะเป็นช็อตที่ “ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์” ประธานสภาพัฒนาการเมือง โยนระเบิดใส่ “คุณหนูปู” ในทำนองปัญหาง่ายๆ ใกล้ตัว อย่างเข้าร่วมประชุมรัฐสภา ทำก่อนดีกว่ามั้ย??
ช้อนั้นภาพตัดไปไม่ทัน แต่เชื่อว่าต้องมีสะอึกกันบ้าง
ดูๆ แล้วสภาปาหี่บันลือโลกหนนี้มิวายจะเข้าอีหรอบเดิมๆที่ทำๆกันมา เพราะสุดท้ายก็จบลงด้วยการตั้งคณะกรรมการเหมือนเดิมตามมุกถนัด คราวนี้แบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ “การเมือง - เศรษฐกิจ - สังคม”แบบไม่มีอะไรใหม่
แถมมอบหมายให้ “ปลาไหลตัวพ่อ” บรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ประสานงานเพื่อตั้งคณะกรรมการ หรือจับทิศจับทางก็หวังจะให้เป็นตัวล่อเดินสายกวักมือเรียกผู้เข้าร่วมให้มีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่าเก่า
เหมือนไม่เช็คเลยว่า “หลงจู๊เติ้ง” ถ้าเอ่ยชื่อนี้แล้วมีคนรักหรือคนเกลียดมากกว่ากัน
ดูจากแนวเวทีปฏิรูปในงวดแรกแล้ว ก็แทบจะไม่ต้องทำนายหรือวิเคราะห์อะไรให้ยากหนักสมอง เพราะจุดจบเห็นกันแพลมๆ อยู่ปลายทางมันล่มมันคว่ำอีกตามเคย กรรมการชุดแล้วชุดเล่าที่เคยตั้งกันมาไม่ว่าจะกี่รัฐบาล ก็ไม่เห็นรับไม้ต่อมาผลักดันอะไรให้เห็นเป็นรูปธรรม ดีแต่มานั่งสแกนดูว่าข้อไหนเรื่องใดที่เข้าทางตีน ค่อยดึงมาเล่นเมื่อโอกาสเหมาะ
แล้วดูจะชื่นชอบไอเดียโรดแมปประเทศของ “ปู่พิชัย รัตตกุล” ที่ให้วางกันยาวๆ 10 ปี 20 ปี อันนี้เข้าทางชัดเจน ดูจะดี๊ด๊าเด้งรับลูกกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย รู้ทั้งรู้ทำกันขนาดนี้ รายละเอียดมันเยอะ จะเสร็จเมื่อไรก็บอกยาก
แต่ก็ถือว่าอาศัยชื่อคุณปู่ “เตะถ่วง” ไปได้อีกนานสองนาน หมดสมัยรัฐบาลนี้ทำไม่เสร็จ เลือกตั้งใหม่คนก็ลืมๆกันไปเอง
หันมาดูท่าที “ยิ่งลักษณ์” เอาก็แล้วกัน ในช่วงจบตอนประชุมรีบออกตัวออดอ้อนเสียงอ่อนเสียงหวาน “กราบขอกำลังใจซึ่งกันและกัน อย่าเพิ่งทิ้งกันนะค่ะ ทำเพื่อประเทศชาติ” ตามคิวต้องออกตัวขอร้องกันเนิ่นๆ เพราะที่ผ่านมาไปสร้างบาดแผลให้ผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนเข็ดหลาบไม่อยากจะสังฆกรรม เวลาไปเชิญทำปากหวานอ่อนช้อย แต่เวลามีข้อเสนออะไรที่เป็นลบกับตัวเองก็หมางเมินไม่แยแสเขา หนักขั้นถึงจิกด่าก็เคยมี
พอรู้ทันว่าเขาเตรียมตัวจะหนีก็เลยใช้มารยาขอร้องอีกเช่นเคย