จับแล้วขบวนการลักลอบทิ้งสารพิษ เจ้าตัวรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา

กาญจนบุรี - ผู้ว่าฯ กาญจนบุรี พร้อม ผบก.กาญจนบุรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงการจับขบวนการลักลอบทิ้งสารพิษ เจ้าตัวรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา พร้อมซัดทอดผู้ร่วมขบวนการ ด้านตำรวจเตรียมขยายผลจับผู้จ้างวาน

เมื่อเวลา 11.00 น. วันนี้ (26 ส.ค.) นายชัยวัฒน์ ลิมป์วรรณธะ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี นายหัสนัย จิตรอารีย์ นายอำเภอท่าม่วง นายวรกร บำรุงชีพโชต ตัวแทนอุตสาหกรรมจังหวัดกาญจนบุรี พล.ต.ต.กมลสันติ กลั่นบุศย์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรี พ.ต.อ.มานิตย์ จำลองรักษ์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรี พ.ต.อ.บุญญฤทธิ์ รอดมา รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรี พ.ต.อ.ธีระเดช อธิภัคกุล ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรท่าม่วง พ.ต.ท.อานุ ปิ่นทอง รองผู้กำกับสืบสวนตำรวจภูธรท่าม่วง พ.ต.ต.ชาญ คำอารีย์สกุล สารวัตรสืบสวนตำรวจภูธรท่าม่วง ร.ต.อ.สมชาย วุฒาพาณิชย์ รองสารวัตรสืบสวนสถานีตำรวจภูธรท่าม่วง ร.ต.ท.ชุมพล เหลืองเอี่ยม พนักงานสอบสวน สภ.ท่าม่วง นำตัว นายอำนาจ กลัดเจริญ อายุ 46 ปี อยู่บ้านเลขที่ 59/2 หมู่ 1 ต.หนองแหน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา พร้อมรถยนต์บรรทุก 10 ล้อ ยี่ห้อฮีโน่ สีขาว-น้ำตาล หมายเลขทะเบียน 50-1586 กทม. มาแถลงข่าวที่ห้องศูนย์ปฏิบัติการกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งนายอำนาจ เป็นผู้ต้องหาร่วมกันบุกรุกอสังหาริมทรัพย์ในความครอบครองของทหาร และร่วมกันปล่อยของเสียมลพิษ

ทั้งนี้ ขณะเจ้าหน้าที่คุมตัวผู้ต้องหาลงจากรถยนต์ตู้เพื่อนำไปแถลงข่าว ได้ใช้มือทั้งสองข้างปิดใบหน้าอยู่ตลอดเวลาเพื่อกันไม่ให้ผู้สื่อข่าวถ่ายภาพใบหน้าให้เห็นได้ชัดเจน

นายชัยวัฒน์ ลิมป์วรรณธะ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี แถลงว่า จากการที่มีผู้ลักลอบนำสารเคมีไปทิ้งในพื้นที่หมู่ 6 ต.ท่าล้อ อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี เมื่อไม่นานมานี้ ที่ผ่านมา ทางจังหวัดมีความกัลวลใจมากเพราะว่าสารเคมีที่ถูกนำมาทิ้งมีผลร้ายต่อสิ่งแวดล้อม และมีผลร้ายต่อมนุษย์และสัตว์เลี้ยงชนิดต่างๆ การกระทำเช่นนั้นนอกจากจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสภาพแวดล้อม และชีวิตมนุษย์ ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมายของอุตสากรรม ที่อุตสาหกรรมเป็นผู้ดูแลกฎหมายนี้อยู่ นอกจากนี้ ยังทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับสารพิษ และจากการตรวจสอบสถานที่ที่นำสารเคมีไปทิ้งยังพบว่า เป็นพื้นที่ในเขตพระราชกฤษฎีกา 2481 ที่เป็นความรับผิดชอบของทหาร ซึ่งเป็นการกระทำผิดที่เข้าไปใช้พื้นที่ทิ้งสารเคมีโดยมิชอบด้วย

ส่วนแนวทางการดำเนินคดี พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรท่าม่วง โดยผู้กำกับภายใต้การอำนวยการของผู้บังคับการ ก็ได้ทำคดีดำเนินการไปตามวิถีทางของคดี ตนขอยืนยันตรงนี้ว่า พนักงานสอบสวน และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบคดีนี้ ได้ทำไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และไม่ได้มีการกลั่นแกล้งใครใดๆ ทั้งสิ้น ว่าคดีกันไปตามหลักฐานที่ปรากฏ ปรากฏอะไรก็ว่ากันไปตามคดีนั้นๆ

สำหรับแนวทางในการแก้ปัญหา ที่ผ่านมา เราได้ประสานไปยังท่านอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรมเข้ามาตรวจสอบ และได้มีการขนย้ายสารเคมีทั้งหมดไปกำจัดด้วยวิธีที่ถูกต้องหมดแล้ว และเหลืออีกเพียงขั้นตอนเดียวเท่านั้นคือ ตนได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่น สำนักงานกระทรวงสาธารณสุขจังหวัด สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด รวมทั้งอุตสาหกรรมจังหวัด ให้ร่วมมือกันตรวจสอบให้ละเอียดอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากยังมีความกังวลว่า จะยังมีสารเคมีตกค้างอยู่ เพราะอาจจะทำให้ไหลเจือปนลงไปในแหล่งน้ำที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งจะเป็นอันตรายทั้งต่อคน และสัตว์เลี้ยง ซึ่งจะต้องเร่งตรวจสอบโดยเร่งด่วน ในส่วนความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจขณะนี้การสืบสวนสอบสวนก็ได้มาถึงขั้นตอนการตั้งข้อกล่าวหาต่อกลุ่มผู้กระทำผิดแล้ว

ส่วน พล.ต.ต.กมลสันติ กลั่นบุศย์ ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี แถลงว่า ในส่วนของคดีคือผู้จ้างวาน ผู้ใช้จ้างวาน เราจะทำการขยายผลต่อไป แต่คงจะต้องพึ่งทางอุตสาหกรรมจังหวัด ให้สั่งการเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเกี่ยวกับเอกสารทางด้านสารเคมีต่างๆ ของทางโรงงานที่เราจะไปตรวจสอบ ส่วนชื่อของโรงงานเราขอปิดเอาไว้ก่อน เพราะเกรงว่าจะส่งผลต่อรูปคดี แต่เพื่อความชัดเจน ซึ่งตนได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.มานิตย์ จำลองรักษ์ รอง ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี เป็นผู้รับผิดชอบคดีดังกล่าว และคาดว่าคงอีกไม่นานจะสามารถติดตามจับกุมผู้จ้างวานได้

ด้าน พ.ต.อ.ธีระเดช อธิภัคกุล ผกก.สภ.ท่าม่วง แถลงว่า ในส่วนของพนักงานสอบสวน สภ.ท่าม่วง ที่ได้รับมอบหมายให้ติดตามในการสืบสวนคดี เราได้สืบสวนหาตัวผู้กระทำผิดมาตั้งแต่ต้นที่พบสารเคมี โดยผู้ต้องหา 2 รายแรก ซึ่งเป็นผู้ติดต่อประสานงาน และพยานในพื้นที่ ซึ่งเราได้ติดตามหาหลักฐานตามกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งเอาไว้ตามเส้นทางต่างๆ และก็พบรถบรรทุก 10 ล้อคันต้องสงสัย จากการตรวจสอบหมายเลขทะเบียนก็พบว่า เป็นรถของโรงงานแห่งหนึ่งที่อยู่ในพื้นที่เขาขลุง และโรงงานดังกล่าวมีสารเคมีที่มีความใกล้เคียงกันกับที่พบถูกนำมาทิ้ง และจากการสืบสวนจนเป็นที่แน่ชัดว่า นายอำนาจ ผู้ต้องหาที่นำตัวมาแถลงข่าวเป็นคนขับรถบรรทุก 10 ล้อของกลาง

ดังนั้น เจ้าหน้าที่จึงรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติหมายจับจากศาล จากนั้นจึงเดินทางไปจับกุมตัวได้ที่บ้านเลขที่ 38/61 หมู่ 4 ต.ลำลูกกา อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ซึ่งหลังจากถูกเจ้าหน้าที่จับกุม จึงนำมาสอบปากคำ ซึ่งนายอำนาจ ได้ยอมรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา และได้มีการซัดทอดไปถึงผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ที่เป็นผู้ประสานงานในการนำสารเคมีมาทิ้งที่จุดดังกล่าว ขณะนี้พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหา นายอำนาจ 2 ข้อหา คือ ข้อหาร่วมกันบุกรุกอสังหาริมทรัพย์ในความครอบครองของทหาร และข้อหาร่วมกันปล่อยของเสียมลพิษตาม พ.ร.บ.โรงงานมาตรา 35

โดยขณะนี้เรากำลังรอผลการตรวจสารเคมีอยู่ หากได้รับผลการตรวจเราก็จะตั้งข้อหาเพิ่มเติม สำหรับนายอำนาจ ผู้ต้องหาที่นำมาแถลงข่าวก็ได้รับสารภาพแล้ว และได้มีการนำตัวไปชี้จุดที่ทิ้งสารพิษแล้ว สำหรับหลักฐานที่เจ้าหน้าที่มีอยู่นั้นครอบคลุมไปถึงผู้ต้องหาที่ 1 และที่ผู้ต้องหาที่ 2 ซึ่งตรงนี้ไม่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด และมั่นใจว่าว่าฐาน และพยานที่มีอยู่เขื่อมั่นว่าจะดำเนินคดีต่อผู้ที่เกี่ยวข้องได้อย่างแน่นอน

นายหัสนัย จิตรอารีย์ นายอำเภอท่าม่วง แถลงว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นอุทาหรณ์ซึ่งเราจะต้องมาช่วยกันดูแลไม่ให้สิ่งที่เกิดขึ้นมาเกิดขึ้นในพื้นที่ของเราอีก โดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีของเราเป็นพื้นที่ที่มีความกว้างใหญ่ เป็นพื้นที่ป่า และภูเขาเป็นจำนวนมาก จึงเป็นพื้นที่ที่ทำให้ขบวนการลักลอบทิ้งสารพิษมีโอกาสง่ายขึ้น ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ได้มีคำสั่งให้นายอำเภอทุกอำเภอให้เร่งประสานกับหน่วยงานในพื้นที่ โดยเฉพาะหน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้นำท้องถิ่นทุกแห่ง ให้ช่วยกันเฝ้าระวังเพื่อไม่ให้มีการนำกากสารพิษมาทิ้งในพื้นที่ของจังหวัดกาญจนบุรีซ้ำอีก

รายงานข่าวแจ้งว่า เบื้องต้นเจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมจังหวัดกาญจนบุรี ได้นำตัวอย่างสารเคมีไปตรวจสอบเบื้องต้นเมื่อวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา และมีการทดสอบวิเคราะห์เมื่อวันที่ 19 ส.ค.พบว่าในส่วนตะกรันหลอมอะลูมิเนียมที่บรรจุอยู่ในถุงบิ๊กแบ็ก และตัวอย่างของสารเคมีที่บรรจุอยู่ในถังพลาสติก ขนาดบรรจุ 200 ลิตร พบว่า มีสารเคมีปะปนอยู่ 7 ชนิด คือ สารแคดเมียม สารโครเมียม สารทองแดง สารแมงกานีส สารนิเกิล สารตะกั่ว และสารสังกะสี