xs
xsm
sm
md
lg

“เฮียชู” ชี้พลังประชาชนอย่าคิดจะเปลี่ยนสังคมได้หากพรรค-ขรก.ยังหวงอำนาจ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ชูวิทย์” เขียนเฟซบุ๊กเล่า 3 กลุ่มตัวแทนสังคมไทย เชื่อ พธม.รู้ดีประชาธิปัตย์แค่คิดจะลาออก ส.ส.ยังไม่เคยคิดเสียด้วยซ้ำ แฉ “เติ้ง” เคยสอนเป็นนักการเมืองอย่าพูดปิดกั้นทางเดิน ชูพันธมิตรฯ ผู้นำความคิด ต่างเสื้อแดงเครื่องจักรการเมือง ชี้ “ธาริต” ตัวอย่าง ขรก.ประจำคิดแต่ในกล่องสี่เหลี่ยม ระบุหากพรรคการเมือง-ข้าราชการ ยังหวงแหนอำนาจ อย่าคิดพลังประชาชนจะเปลี่ยนสังคมได้

วันนี้ (24 ส.ค.) เมื่อเวลา 22.54 น.นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักประเทศไทย ได้เขียนข้อความผ่านเว็บไซต์เฟซบุ๊ก ชูวิทย์ I'm No.5 ระบุถึงกรณีแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประกาศยุติบทบาท โดยเขียนในหัวข้อ 3 กลุ่มตัวแทนของสังคมไทย ระบุว่า เมื่อคืนตนดูข่าว พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดย นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำ ประกาศยุติบทบาท ไม่ต้องการตกเป็นเครื่องมือของพรรคการเมือง ที่จะได้ประโยชน์จากการต่อสู้ของพันธมิตรฯ รวมทั้งติดเงื่อนไขการประกันตัวของศาล แต่ยังคงยืนยันพร้อมล้มระบอบการเมืองน้ำเน่า ตนอยากจะแบ่งปันความคิดเห็นตามประสาละอ่อนการเมือง อย่างตน

นายชูวิทย์ ระบุว่า กลุ่มพันธมิตรฯเรียกร้องให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ลาออกมาร่วมต่อสู้นอกสภา แต่พรรคประชาธิปัตย์ “แบ่งรับแบ่งสู้” จริงๆ แล้วเขา “ปฏิเสธ” และพันธมิตรฯทราบล่วงหน้าดี ไม่ได้คิดว่า ส.ส.ประชาธิปัตย์จะยอมลาออกมาจริงๆ เรียกว่า “แค่คิดจะออกยังไม่เคยคิดเสียด้วยซ้ำ” พรรคประชาธิปัตย์นั้น เป็นส่วนหนึ่งของระบบการเมืองไทยมาอย่างยาวนาน การจะให้พรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจ “พลิกเกม” ที่เคยทำอยู่นานกว่า 67 ปี ย่อมเป็นไปได้ยาก รวมทั้ง ส.ส.ของพรรคเอง ใช่ว่าจะ “ยินยอมพร้อมใจ” เปลี่ยนแปลงจุดยืนอย่างกะทันหันด้วยการลาออก ยิ่งไปกว่านั้น พรรคประชาธิปัตย์มี “กลุ่มการเมืองภายใน” (fractions) หรือที่เรียกว่า “ก๊วน” ต่างๆ ภายในพรรค เช่นเดียวกับพรรคการเมืองอื่นๆ คงยากที่จะทำตามที่พันธมิตรฯเชื้อเชิญ

“ครั้งหนึ่งเมื่อผมอยู่พรรคชาติไทย นายบรรหาร เคยบอกผมว่า “เราเป็นนักการเมือง จะต้องมีทางออกหลายทาง อย่าได้พูดอะไรปิดกั้นทางเดินของตัวเองจนเหลือทางเดียวเป็นอันขาด”” นายชูวิทย์ ระบุ

หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ระบุอีกว่า กลุ่ม “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” เป็น “ผู้นำทางความคิด” ของสังคมไทยที่มีพลังสูง แกนนำระดับ “แม่เหล็ก” อย่าง นายสนธิ, พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และแกนนำคนอื่นๆ กลายเป็น “พลังสังคม” ที่ไม่หยุดนิ่งตามสถานการณ์ เพราะมีการบริหาร วางแผนการจัดการอย่างเป็นระบบ เป็นตัวอย่างให้เห็นว่า สามารถยืนหยัดและได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นกลางของสังคมไทย แน่นอนว่ามีความแตกต่างจากกลุ่ม “คนเสื้อแดง” ที่ทางรัฐศาสตร์เรียกว่า “เครื่องจักรทางการเมือง” (Political Machine) ถือเป็น “เครื่องมือ” ของพรรคการเมืองที่จำเป็นต้องมีชาวบ้านเรียกว่า “มวลชนสนับสนุนพรรค”

นายชูวิทย์ ระบุว่า อีกกลุ่มหนึ่งในสังคมไทยคือ “ข้าราชการประจำ” ที่ “เป็นมือเป็นไม้” ให้กับทุกๆรัฐบาล เป็นผู้ปฏิบัติผลักดัน เดินตามนโยบาย ทำให้ “กระบวนการบริหารจัดการของรัฐ” เคลื่อนที่ ถือเป็นกลุ่มที่สำคัญ มีมาอย่างยาวนาน และแน่นแฟ้นต่อเนื่อง แต่กลุ่มข้าราชการมีความคิดอยู่ใน “กล่องสี่เหลี่ยม” ไม่เคยมีแม้แต่ครั้งเดียว ที่บรรดาข้าราชการจะ “คิดนอกกรอบ” เพราะมีกฎระเบียบให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ตั้งแต่วันแรกที่รับราชการ สมองของข้าราชการถูก “ตีเส้น” กำหนดกรอบไว้แล้ว มีเจ้านายคอยกำกับสั่งการ เป็นขั้นเป็นตอน ดังนั้น บุคคลอย่าง “นายธาริต เพ็งดิษฐ์” ถึงแสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าใครเป็นรัฐบาล เขาพร้อมที่จะทำงานให้อย่าง “ถวายชีวิต” เพราะขืนไม่ทำจะถูก “โยกย้าย” กลุ่มข้าราชการประจำยังรวมไปถึงกลุ่มอำนาจอย่าง “ทหาร” ซึ่งมีบทบาทฝังลึกอยู่ในสังคมไทยเช่นกัน

“ทั้ง 3 กลุ่ม เป็นตัวแทนของผู้มีอำนาจในสังคมไทย แต่เนื่องจากกลุ่ม “ข้าราชการ” และกลุ่ม “พรรคการเมือง” ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง จึงยากที่กลุ่มพลังประชาชนอย่าง “พันธมิตรฯ” จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ด้วยตัวเอง ตราบใดที่กลุ่มพรรคการเมือง และกลุ่มข้าราชการ ยังหวงแหนอำนาจ อย่าไปคิดเลยว่า กลุ่มพลังประชาชนจะเปลี่ยนแปลงอะไรในสังคมได้ ล้อมวงเข้ามา ครั้งต่อไป “ละอ่อนการเมือง” อย่างผม จะเล่าเรื่องการเมืองไทยแบบบ้านๆ ให้ฟังอีก ช่วงนี้แถวๆ สภามันมืดมิดจริงๆ คงต้อง “จุดตะเกียง” เพิ่มความสว่างเสียหน่อย” นายชูวิทย์ ระบุทิ้งท้าย
กำลังโหลดความคิดเห็น